พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/271/369 370
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคตรัสถามสกุลุทายีปริพาชกผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูกรอุทายี
เมื่อกี้นี้ ท่านทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน ก็แหละเรื่องอะไรที่ท่านทั้งหลายหยุดค้าง
ไว้ในระหว่าง.
[๓๖๙] สกุลุทายีปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องที่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ประชุมสนทนากันเมื่อกี้นี้นั้น ของดไว้ก่อน เรื่องนั้นพระผู้มีพระภาคจักได้ทรงสดับในภายหลัง
โดยไม่ยาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเวลาข้าพระองค์ไม่ได้เข้าไปหาบริษัทหมู่นี้ บริษัทหมู่นี้ก็
นั่งพูดกันถึงติรัจฉานกถาต่างเรื่อง แต่เมื่อเวลาข้าพระองค์เข้าไปหาบริษัทหมู่นี้ บริษัทหมู่นี้ก็นั่ง
มองดูแต่หน้าข้าพระองค์ด้วยมีความประสงค์ว่า ท่านอุทายี (พระสมณโคดม) จักภาษิตธรรมใด
แก่เราทั้งหลาย เราทั้งหลายจักฟังธรรมนั้น ดังนี้ และเมื่อเวลาพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหา
บริษัทหมู่นี้ ทั้งข้าพระองค์และบริษัทหมู่นี้ก็นั่งมองดูพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ด้วยมี
ประสงค์ว่า พระผู้มีพระภาคจักทรงภาษิตธรรมใดแก่เราทั้งหลาย เราทั้งหลายจักฟังธรรมนั้น.
ดูกรอุทายี ถ้าอย่างนั้น ปัญหาจงปรากฏแก่ท่าน ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ธรรมเทศนาปรากฏ
แก่เรา.
[๓๗๐] ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ หลายวันมาแล้ว ท่านผู้สัพพัญญูสัพพ
ทัสสาวี (ผู้สารพัดรู้สารพัดเห็น) มาปฏิญาณความรู้ความเห็นอันไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไป
หยุดอยู่ หลับและตื่น ความรู้ความเห็นปรากฏอยู่เสมอร่ำไป ดังนี้ ท่านผู้นั้นถูกข้าพระองค์ถาม
ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต ก็เอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน พูดเฉไปเสียนอกเรื่อง ได้ทำความ
โกรธ โทสะ และความไม่พอใจให้ปรากฏ ข้าพระองค์เกิดสติปรารภพระผู้มีพระภาคเท่านั้นว่า
โอ ผู้ฉลาดในธรรมเหล่านี้ จะเป็นผู้ใดเล่า ต้องเป็นพระผู้มีพระภาคเป็นแน่ ต้องเป็นพระสุคต
เป็นแน่.
ภ. ดูกรอุทายี ก็ท่านผู้สารพัดรู้สารพัดเห็นนั้น มาปฏิญาณความรู้ความเห็นอันไม่มี
ส่วนเหลือ ... ได้ทำความโกรธ โทสะ และความไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นใครเล่า?
นิครนถ์นาฏบุตร พระเจ้าข้า.