พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/274/197
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
ในกาลก่อนแล จิตของเรานี้เป็นจิตเล็กน้อย เป็นจิตไม่ได้อบรมแล้ว แต่บัดนี้ จิตของเรานี้
เป็นจิตหาประมาณมิได้ เป็นจิตอบรมดีแล้ว ก็กรรมที่ทำแล้วพอประมาณอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
ย่อมไม่เหลืออยู่ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน คือ หากว่าในเวลายังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญอุเบกขาเจโตวิมุติไซร้ พึงกระทำบาปกรรมบ้างหรือ ฯ
ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมและหรือ ฯ
ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยว่าทุกข์จักถูกต้องบุคคลผู้ไม่
ทำบาปกรรมได้แต่ที่ไหน ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุเบกขาเจโตวิมุตินี้ อันสตรีหรือบุรุษพึงเจริญแล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กายนี้มิได้มีส่วนอันสตรีหรือบุรุษจะพึงพาเอาไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้มีอัน
จะต้องตายเป็นสภาพนี้ เป็นผู้มีจิตเป็นเหตุ สัตว์นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า บาปกรรมไรๆ ของเรา
อันกรัชกายนี้ทำแล้วในกาลก่อน บาปกรรมนั้นทั้งหมด อันเราจะพึงเสวยในอัตภาพนี้ จักไม่
ติดตามไปดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายอุเบกขาเจโตวิมุติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอดวิมุตติ
อันยิ่ง ในธรรมวินัยนี้เจริญแล้วด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นพระอนาคามี ฯ
จบสูตรที่ ๙
พราหมณสูตร
[๑๙๗] ครั้งนั้นแล พราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัย
กับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ เพราะเหตุแห่งการประพฤติอธรรมและ
การประพฤติไม่สม่ำเสมอ สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรก ฯ