พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/28/110 111 112

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เล่ม 15
หน้า 28
ของพวกข้าพเจ้าล่วงไปแล้ว พวกข้าพเจ้าเหล่าใด เป็นพาลอย่างไร เป็นผู้หลงแล้วอย่างไร เป็นผู้ไม่ฉลาดอย่างไร ได้สำคัญ แล้วว่าพระผู้มีพระภาคอันพวกเราพึงรุกราน ข้าแต่พระผู้มีพระ ภาคผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดอดโทษของพวกข้าพเจ้านั้น เพื่อจะสำรวมในกาลต่อไป ฯ ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงยิ้มแย้ม ฯ
[๑๑๐] ในลำดับนั้นแล เทวดาเหล่านั้นผู้เพ่งโทษโดยประมาณยิ่ง กลับ ขึ้นไปบน อากาศ เทวดาตนหนึ่งได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า เมื่อเราแสดงโทษอยู่ ถ้าบุคคลใดมีความโกรธอยู่ในภายในมีความเคือง หนัก ย่อมไม่อดโทษให้ บุคคลนั้นย่อมสอดสวมเวร หากว่าในโลกนี้ โทษก็ไม่มี ความผิดก็ไม่มี เวรทั้งหลายก็ไม่สงบ ในโลกนี้ใครพึงเป็น คนฉลาด เพราะเหตุไร โทษทั้งหลายของใครก็ไม่มี ความผิดของใครก็ ไม่มีใครไม่ถึงแล้วซึ่งความหลงใหล ในโลกนี้ ใครย่อมเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีสติในกาลทั้งปวง ฯ
[๑๑๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า โทษทั้งหลายก็ไม่มี ความผิดก็ไม่มีแก่พระตถาคตนั้น ผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้ เอ็นดูแก่สัตว์ทั้งปวง พระตถาคตนั้นไม่ถึงแล้วซึ่งความหลงใหล พระ ตถาคตนั้นย่อมเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีสติในกาลทั้งปวง เมื่อพวกท่าน แสดงโทษอยู่ หากบุคคลใดมีความโกรธอยู่ในภายใน มีความเคืองหนัก ย่อมไม่อดโทษให้ บุคคลนั้นย่อมสอดสวมเวร เราไม่ชอบเวรนั้น เรา ย่อมอดโทษแก่ท่านทั้งหลาย ฯ สัทธาสูตรที่ ๖
[๑๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วง ไปแล้ว พวกเทวดา สตุลลปกายิกามากด้วยกัน มีวรรณงาม ยังพระวิหารเชตวัน ทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ฯ