พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/293/598 599
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๖. มหากัมมวิภังคสูตร (๑๓๖)
[๕๙๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเคยเป็นสถานที่พระราชทาน
เหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้นแล ท่านพระสมิทธิอยู่ในกระท่อมในป่า ครั้งนั้น
ปริพาชกโปตลิบุตรเดินเล่นไปโดยลำดับเข้าไปหาท่านพระสมิทธิยังที่อยู่แล้ว ได้ทักทายปราศรัย
กับท่านพระสมิทธิ ครั้นผ่าน คำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ฯ
[๕๙๙] ปริพาชกโปตลิบุตร พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่าน พระสมิทธิดังนี้ว่า
ดูกรท่านสมิทธิ ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระสมณโคดมดังนี้ว่า กายกรรมเป็นโมฆะ
วจีกรรมเป็นโมฆะ มโนกรรมเท่านั้น จริง และว่าสมาบัติที่บุคคลเข้าแล้วไม่เสวยเวทนาอะไรๆ
นั้น มีอยู่ ฯ
ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า ดูกรโปตลิบุตรผู้มีอายุ ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ อย่ากล่าวตู่
พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้ว่า
กายกรรมเป็นโมฆะ วจีกรรมเป็นโมฆะ มโนกรรมเท่านั้น จริง และว่าสมาบัติที่บุคคลเข้าแล้ว
ไม่เสวยเวทนาอะไรๆ นั้น มีอยู่ ฯ
ป. ดูกรท่านสมิทธิ ท่านบวชมานานเท่าไรแล้ว ฯ
ส. ดูกรท่านผู้มีอายุ ไม่นาน เพียง ๓ พรรษา ฯ
ป. ในเมื่อภิกษุใหม่เข้าใจการระแวดระวังศาสดาถึงอย่างนี้แล้ว คราวนี้พวกเราจัก
พูดอะไรกะภิกษุผู้เถระได้ ดูกรท่านสมิทธิ บุคคลทำกรรมชนิดที่ประกอบด้วยความจงใจแล้ว
ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เขาจะเสวยอะไร ฯ
ส. ดูกรโปตลิบุตรผู้มีอายุ เขาจะเสวยทุกข์ ฯ
ลำดับนั้น ปริพาชกโปตลิบุตรไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของท่านพระสมิทธิ แล้วลุกจาก
อาสนะหลีกไป ฯ