พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/301/304
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
ไม่เสื่อมแก่ภิกษุ เทวดานั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ลำดับนั้น เทวดาตน
นั้นทราบว่า พระศาสดาของเราทรงพอพระทัยแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ
แล้ว หายไป ณ ที่นั้น ฯ
ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อคืนนี้ เทวดาตนหนึ่ง เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่งยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้
สว่างไสว แล้วเข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว ยืนอยู่ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือความเป็นผู้เคารพในพระศาสดา ๑ ความเป็นผู้เคารพในพระธรรม
๑ ความเป็นผู้เคารพในพระสงฆ์ ๑ ความเป็นผู้เคารพในสิกขา ๑ ความเป็นผู้เคารพในความไม่
ประมาท ๑ ความเป็นผู้เคารพในปฏิสันถาร ๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ประการนี้แล ย่อม
เป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาตนนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว อภิวาทเรา
ทำประทักษิณแล้ว ได้หายไป ณ ที่นั้น ฯ
ภิกษุผู้เคารพในพระศาสดา เคารพในพระธรรม เคารพอย่างแรงกล้าใน
พระสงฆ์ เคารพในความไม่ประมาท เคารพในปฏิสันถาร ย่อมเป็นผู้ไม่
ควรเพื่อเสื่อม ย่อมมี ณ ที่ใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
จบสูตรที่ ๒
๓. อปริหานิยสูตรที่ ๒
[๓๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เทวดาตนหนึ่ง เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มี
รัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว แล้วเข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะเราว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้เคารพใน
พระศาสดา ๑ ความเป็นผู้เคารพในพระธรรม ๑ ความเป็นผู้เคารพในพระสงฆ์ ๑ ความเป็นผู้
เคารพในสิกขา ๑ ความเป็นผู้เคารพในหิริ ๑ ความเป็นผู้เคารพในโอตตัปปะ ๑ ข้าแต่พระองค์