พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/303/626 627      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            	บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน  อันน่าปรารถนา  น่าใคร่
น่าชอบใจ  เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ  ประกอบด้วยโลกามิสโดยเป็นของอันตนได้เฉพาะ  หรือหวน
ระลึกถึงธรรมารมณ์ที่เคยได้เฉพาะในก่อนอันล่วงไปแล้ว  ดับไปแล้ว  แปรปรวนไปแล้ว  ย่อม
เกิดโสมนัสขึ้น  โสมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า  โสมนัสอาศัยเรือน  เหล่านี้โสมนัสอาศัยเรือน  ๖  ฯ
 [๖๒๖]  ใน  ๓๖  ประการนั้น  โสมนันอาศัยเนกขัมมะ  ๖  เป็นไฉน  คือ  บุคคลเมื่อทราบ
ความไม่เที่ยง  ความแปรปรวน  ความคลาย  และความดับของรูปทั้งหลายนั่นแล  แล้วเห็นด้วย
ปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า  รูปในก่อนและในบัดนี้ทั้งหมดนั้น  ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความ
แปรปรวนเป็นธรรมดา  ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น  โสมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า  โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ  ฯ
	บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง  ความแปรปรวน  ความคลาย  และความดับของเสียงทั้ง
หลายนั่นแล  ...
	บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง  ความแปรปรวน  ความคลาย  และความดับของกลิ่นทั้ง
หลายนั่นแล  ...
	บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง  ความแปรปรวน  ความคลาย  และความดับของรสทั้ง
หลายนั่นแล  ...
	บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง  ความแปรปรวน  ความคลาย  และความดับของโผฏฐัพพะ
ทั้งหลายนั่นแล  ...
	บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง  ความแปรปรวน  ความคลาย  และความดับของธรรมารมณ์
ทั้งหลายนั่นแล  แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่าธรรมารมณ์ในก่อนและใน
บัดนี้ทั้งหมดนั้น  ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น  โสมนัส
เช่นนี้นี่เราเรียกว่า  โสมนัสอาศัย  เนกขัมมะ  เหล่านี้โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ  ๖  ฯ
 [๖๒๗]  ใน  ๓๖  ประการนั้น  โทมนัสอาศัยเรือน  ๖  เป็นไฉน  คือ บุคคลเมื่อเล็งเห็น
ความไม่ได้เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ  อันน่าปรารถนา  น่าใคร่น่าชอบใจ  เป็นที่รื่นรมย์แห่ง
ใจ  ประกอบด้วยโลกามิส  โดยเป็นของอันตนไม่ได้  เฉพาะ  หรือหวนระลึกถึงรูปที่ไม่เคยได้
เฉพาะในก่อน  อันล่วงไปแล้ว  ดับไปแล้วแปรปรวนไปแล้ว  ย่อมเกิดโทมนัส  โทมนัสเช่น
นี้นี่เราเรียกว่า  โทมนัสอาศัยเรือน
	บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งเสียง  ...