พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/305/307
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
เพื่อสิ่งไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อความฉิบหาย เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก
เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายพึงพิจารณาเห็นซึ่งมูล
เหตุแห่งการวิวาทเห็นปานนั้นในภายในหรือภายนอกไซร้ เธอทั้งหลายพึงพยายามเพื่อละมูลเหตุ
แห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้นเสีย ถ้าเธอทั้งหลายไม่พึงพิจารณาเห็นซึ่งมูลเหตุแห่งการวิวาทเห็นปานนั้น
ในภายในหรือภายนอกไซร้ เธอทั้งหลายพึงปฏิบัติเพื่อไม่ให้มูลเหตุแห่งการวิวาทเห็นปานนั้น
ครอบงำต่อไป การละมูลเหตุแห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้น(และ) มูลเหตุแห่งการวิวาทที่เป็นบาป
นั้น ไม่ครอบงำต่อไป ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ลบหลู่ ตีเสมอ ฯลฯ เป็นผู้ริษยา มีความตระหนี่ เป็น
ผู้โอ้อวด มีมารยา เป็นผู้มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิดเป็นผู้มีความถือมั่นทิฐิของตน
มีความถือรั้น สละความเห็นของตนได้ยาก ภิกษุใดเป็นผู้ถือมั่นทิฐิของตน ถือรั้น สละความ
เห็นของตนได้ยาก ภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่ยำเกรงแม้ในพระศาสดา ... แม้ใน
พระธรรม ... แม้ในพระสงฆ์ไม่กระทำให้บริบูรณ์แม้ในสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่เคารพ
ไม่ยำเกรงในพระศาสดา ฯลฯ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ย่อมก่อการวิวาทให้เกิดขึ้นในสงฆ์
ซึ่งเป็นไปเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อ
ความฉิบหาย เพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายพึงพิจารณาเห็นมูลเหตุแห่งการวิวาทเห็นปานนั้น ใน
ภายในหรือภายนอกไซร้ เธอทั้งหลายพึงพยายามเพื่อละเหตุแห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้นเสีย ถ้า
เธอทั้งหลายไม่พึงพิจารณาเห็นมูลเหตุแห่งการวิวาทเห็นปานนั้น ในภายในหรือภายนอกไซร้ เธอ
ทั้งหลายพึงปฏิบัติเพื่อไม่ให้มูลเหตุแห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้นครอบงำต่อไป การละมูลเหตุแห่ง
การวิวาทที่เป็นบาปนั้น (และ) มูลเหตุแห่งการวิวาทที่เป็นบาปนั้นไม่ครอบงำต่อไป ย่อมมีได้
ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มูลเหตุแห่งการวิวาท ๖ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๖