พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/315/314
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
สูง มีอวัยวะสมบูรณ์บ้าง จึงได้กล่าวชมอย่างนี้ว่า ประเสริฐหนอ ดูกรกาลุทายี อนึ่ง บุคคลใด
ไม่ทำความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในโลกนี้กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่
สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เราเรียกบุคคลนั้นว่าผู้ประเสริฐ ฯ
กา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว คือ พระดำรัส ที่พระผู้มี
พระภาคตรัสไว้ด้วยดีดังนี้ว่า ดูกรกาลุทายี อนึ่ง บุคคลใดไม่ทำความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วย
ใจ ในโลกนี้กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา
และมนุษย์ เราเรียกบุคคลนั้นว่าผู้ประเสริฐ ฯ
ท่านพระกาลุทายีกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ข้าพระองค์ขออนุโมทนา
พระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วนี้ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ข้าพระองค์ได้สดับจากพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ดังนี้ว่า มนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้เป็นมนุษย์ทรงฝึกฝนพระองค์
แล้ว มีจิตตั้งมั่น ดำเนินไปในทางประเสริฐ ทรงยินดีในธรรมที่ยังจิต
ให้เข้าไปสงบ ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง แม้เทวดาทั้งหลายก็ย่อม
นอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง ทรงออก
จากกิเลสเครื่องร้อยรัด ทรงบรรลุธรรมที่ไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด ทรงยินดี
ในธรรมอันเป็นที่ออกไปจากกามทั้งหลาย คล้ายทองคำที่ถลุงจากหิน ฉะนั้น
พระองค์เป็นผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองล่วงสรรพสัตว์ คล้ายขุนเขาหิมวัน สูง
กว่าภูเขาศิลาลูกอื่น ฉะนั้น พระองค์ผู้ทรงนามว่านาคะอันเป็นจริงนี้เป็นผู้
ยิ่งกว่าเทวดาทั้งปวงผู้มีนามว่านาคะ ข้าพระองค์จักชี้แจงซึ่งความที่พระองค์
เป็นผู้เปรียบด้วยช้างเพราะพระองค์ไม่ทรงทำความชั่วโสรัจจะและอวิ
หิงสา เป็นเท้าหน้าทั้งสองของพระองค์ผู้เป็นเพียงดังช้างตัวประเสริฐ
ตบะ และ พรหมจรรย์เป็นเท้าหลังทั้งสองของพระองค์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐ
พระองค์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐอย่างยอดเยี่ยม มีศรัทธาเป็นงวง มี
อุเบกขาเป็นงาอันขาว มีสติเป็นคอ มีปัญญาเป็นเศียร มีการสอดส่อง
ธรรมเป็นปลายงวง มีธรรมเครื่องเผากิเลสเป็นท้อง มีวิเวกเป็นหาง พระ
องค์ทรงมีฌาน ทรงยินดีในผลสมาบัติเป็นลมหายใจ ทรงมีจิตเข้าไปตั้ง
มั่นภายใน ทรงดำเนินไปก็มีจิตตั้งมั่น ทรงยืนอยู่ก็มีจิตตั้งมั่น ทรงบรรทม