พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/316/315

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
เล่ม 22
หน้า 316
ก็มีจิตตั้งมั่น แม้ประทับนั่งก็มีจิตตั้งมั่น ทรงสำรวมแล้วในทวารทั้งปวง นี้เป็นสมบัติของพระองค์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐ พระองค์ผู้เป็นช้างตัว ประเสริฐย่อมเสวยสิ่งที่ไม่มีโทษ ไม่เสวยสิ่งที่มีโทษ ได้อาหารและ เครื่องนุ่งห่มแล้ว ทรงเว้นการสะสม ทรงตัดสังโยชน์น้อยใหญ่ ทรงตัด เครื่องผูกพันทั้งปวง จะเสด็จไปทางใดๆ ก็ไม่มีห่วงใยเสด็จไป ดอกบัว ชื่อบุณฑริก มีกลิ่นหอม น่ารื่นรมย์ใจ เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ไม่แปด เปื้อนด้วยน้ำแม้ฉันใด พระองค์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐ ก็ฉันนั้น ทรง อุบัติขึ้นมาดีแล้วในโลก ก็ทรงเบิกบานอยู่ในโลก อันตัณหา มานะทิฐิ ไม่ฉาบทาพระองค์ให้ติดอยู่กับโลก เหมือนดอกประทุมไม่เปียกน้ำ ฉะนั้น ไฟกองใหญ่ลุกรุ่งโรจน์ ย่อมดับเพราะหมดเชื้อ ฉันใด พระองค์ผู้เป็น ช้างตัวประเสริฐก็ฉันนั้น คือเมื่อสังขารทั้งหลายสงบแล้ว ก็เรียกกันว่า เสด็จนิพพานข้ออุปมาที่ให้รู้เนื้อความแจ้งชัดนี้ อันวิญญูชนทั้งหลาย แสดงไว้แล้ว พระอรหันต์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐอย่างยอดเยี่ยมทั้งหลาย ย่อมรู้แจ้งชัดซึ่งพระองค์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐ ซึ่งพระกาลุทายีผู้เป็นช้าง ตัวประเสริฐ แสดงไว้แล้วพระองค์ผู้เป็นช้างตัวประเสริฐ ทรงปราศจาก ราคะ ทรงปราศจากโทสะ ทรงปราศจากโมหะ ทรงหาอาสวกิเลสมิได้ เมื่อทรงละสรีระ ก็ทรงหาอาสวกิเลสมิได้ จักเสด็จปรินิพพาน ฯ จบสูตรที่ ๑ ๒. มิคสาลาสูตร
[๓๑๕] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของ อุบาสิกาชื่อมิคสาลา แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ ครั้งนั้น อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเข้าไปหาท่านพระ อานนท์ถึงที่อยู่ กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนี้ ที่เป็นเหตุให้คน ๒ คน คือคน หนึ่งประพฤติพรหมจรรย์และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันใน