พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/326/670 671 672      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            มีความเร่าร้อนเป็นความปฏิบัติผิด  เพราะฉะนั้น  ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์  แต่คำกล่าว
ล่วงเกินต่อหน้าซึ่งจริง  แท้  ประกอบด้วยประโยชน์  นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์  ไม่มีความคับใจ
ไม่มีความแค้นใจ  ไม่มีความเร่าร้อน  เป็นความปฏิบัติชอบ  เพราะฉะนั้น  ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลส
ต้องรณรงค์  ฯ
 [๖๗๐]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในอรณวิภังค์นั้น  คำที่ผู้รีบด่วนพูด  นี้เป็นธรรมมีทุกข์
มีความคับใจ  มีความแค้นใจ  มีความเร่าร้อน  เป็นความปฏิบัติผิด  เพราะฉะนั้น  ธรรมนี้จึงยังมี
กิเลสต้องรณรงค์  แต่คำที่ผู้ไม่รีบด่วนพูด  นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์  ไม่มีความคับใจ  ไม่มีความ
แค้นใจ  ไม่มีความเร่าร้อน  เป็นความปฏิบัติชอบ  เพราะฉะนั้น  ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์  ฯ
 [๖๗๑]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในอรณวิภังค์นั้น  การปรักปรำภาษาชนบทและการล่วงเลย
คำพูดสามัญ  นี้เป็นธรรมมีทุกข์  มีความคับใจ  มีความแค้นใจมีความเร่าร้อน  เป็นความปฏิบัติผิด
เพราะฉะนั้น  ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์แต่การไม่ปรักปรำภาษาชนบท  และการไม่ล่วงเลย
คำพูดสามัญ  นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์  ไม่มีความคับใจ  ไม่มีความแค้นใจ  ไม่มีความเร่าร้อน
เป็นความปฏิบัติ  ชอบ  เพราะฉะนั้น  ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์  ฯ
 [๖๗๒]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น  พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แลว่า  เราทั้งหลาย
จักรู้ธรรมยังมีกิเลสต้องรณรงค์  และรู้ธรรมไม่มีกิเลสต้องรณรงค์  ครั้น  รู้แล้ว  จักปฏิบัติปฏิปทา
ไม่มีกิเลสต้องรณรงค์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แหละ  กุลบุตรสุภูติ  ปฏิบัติปฏิปทาไม่มีกิเลสต้องรณรงค์
แล้ว  ฯ
	พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล  ฯ
	      จบ  อรณวิภังคสูตร  ที่  ๙
	    _______________