พระสุตตันตปิฎกไทย: 9/333/357

สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
เล่ม 9
หน้า 333
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้. เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์. ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ต่อ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไป ตั้งจิตเป็นศัตรู. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู. เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นสัมมาทิฏฐิ? ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ดูกรโลหิจจะ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.
[๓๕๗] ดูกรโลหิจจะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรง ปกครองแคว้นกาสีและโกศลมิใช่หรือ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นเช่นนั้น. ดูกรโลหิจจะเราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครอง แคว้นกาสีและโกศลอยู่ พระองค์ควรทรงใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดในแคว้นทั้ง ๒ นั้นแต่ พระองค์เดียว ไม่ควรพระราชทานแก่ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่พวกท่านและ คนอื่นๆ ซึ่งได้พึ่งพระบารมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่? ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้. เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์. ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไป ตั้งจิตเป็นศัตรู. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู. เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ?