พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/336/380
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดสภาพของโลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศกท่าน
ย่อมไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป ไม่เห็นที่สุดทั้งสองอย่างถึงจะคร่ำครวญ
ไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าผู้คร่ำครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่จะยังประโยชน์
อะไรๆ ให้เกิดขึ้นได้ไซร้ บัณฑิตผู้เห็นแจ้งก็พึงกระทำความคร่ำครวญ
นั้น บุคคลจะถึงความสงบใจได้ เพราะการร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก
ก็หาไม่ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และสรีระของผู้นั้นก็จะซูบซีด
บุคคลผู้เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง
สัตว์ทั้งหลายผู้ละไปแล้ว ย่อมรักษาตนไม่ได้ด้วยความรำพันนั้น การ
รำพันไร้ประโยชน์ คนผู้ทอดถอนถึงบุคคลผู้ทำกาละแล้ว ยังละความ
เศร้าโศกไม่ได้ ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก ย่อมถึงทุกข์ยิ่ง
ขึ้น ท่านจงเห็นคนแม้เหล่าอื่นผู้เตรียมจะดำเนินไปตามยถากรรม
(และ)สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้มาถึงอำนาจแห่งมัจจุแล้ว กำลัง
พากันดิ้นรนอยู่ทีเดียว ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมสำคัญด้วยอาการใดๆ อาการ
นั้นๆ ย่อมแปรเป็นอย่างอื่นไปในภายหลัง ความพลัดพรากกัน เช่นนี้
ย่อมมีได้ ท่านจงดูสภาพแห่งโลกเถิดมาณพแม้จะพึงเป็นอยู่ร้อยปี
หรือยิ่งกว่านั้น ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้
เพราะเหตุนั้น บุคคลฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ว เห็นคน
ผู้ล่วงลับทำกาละแล้ว กำหนดรู้อยู่ว่า บุคคลผู้ล่วงลับทำกาละแล้วนั้น
เราไม่พึงได้ว่า จงเป็นอยู่อีกเถิด ดังนี้ พึงกำจัดความรำพันเสีย บุคคล
พึงดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำ ฉันใดนรชนผู้เป็นนักปราชญ์ มี
ปัญญา เฉลียวฉลาด พึงกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสีย โดยฉับพลัน
เหมือนลมพัดนุ่นฉะนั้น คนผู้แสวงหาความสุขเพื่อตน พึงกำจัดความ
รำพันความทะยานอยากและความโทมนัสของตน พึงถอนลูกศรคือ
กิเลสของตนเสีย เป็นผู้มีลูกศร คือ กิเลสอันถอนขึ้นแล้ว อันตัณ
หาและทิฐิไม่อาศัยแล้วถึงความสงบใจ ก้าวล่วงความเศร้าโศกได้
ทั้งหมด เป็นผู้ไม่มีความเศร้าโศกเยือกเย็น ฉะนี้แล ฯ
จบสัลลสูตรที่ ๘