พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/350/389
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ป่า เข้าไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ พึงเป็นผู้ขวนขวายในฌาน เป็นนักปราชญ์
ยินดีแล้วในป่า พึงทำจิตให้ยินดียิ่ง เพ่งฌานอยู่ที่โคนต้นไม้ ครั้นเมื่อ
ล่วงราตรีไปแล้ว พึงเข้าไปสู่บ้าน ไม่ยินดีโภชนะที่ยังไม่ได้ และ
โภชนะที่เขานำไปแต่บ้าน ไปสู่บ้านแล้ว ไม่พึงเที่ยวไปในสกุลโดย
รีบร้อน ตัดถ้อยคำเสียแล้ว ไม่พึงกล่าววาจาเกี่ยวด้วยการแสวงหา
ของกิน มุนีนั้นคิดว่า เราได้สิ่งใด สิ่งนี้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ เรา
ไม่ได้ก็เป็นความดี ดังนี้แล้ว เป็นผู้คงที่ เพราะการได้และไม่ได้
ทั้งสองอย่างนั้นแล ย่อมก้าวล่วงทุกข์เสียได้ เปรียบเหมือนบุรุษแสวง
หาผลไม้ เข้าไปยังต้นไม้แล้ว แม้จะได้ แม้ไม่ได้ ก็ไม่ยินดี ไม่
เสียใจวางจิตเป็นกลางกลับไป ฉะนั้น มุนีมีบาตรในมือเที่ยวไปอยู่
ไม่เป็นใบ้ ก็สมมุติว่าเป็นใบ้ ไม่พึงหมิ่นทานว่าน้อย ไม่พึงดูแคลน
บุคคลผู้ให้ ก็ปฏิปทาสูงต่ำพระพุทธสมณะประกาศแล้ว มุนีทั้งหลาย
ย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้น นิพพานนี้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้น
หามได้ ก็ภิกษุผู้ไม่มีตัณหา ตัดกระแสร์กิเลสได้แล้ว ละกิจน้อยใหญ่
ได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่มีความเร่าร้อน ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เราจักบอกปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทาของมุนี พึงเป็น
ผู้มีคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ กดเพดานไว้ด้วยลิ้นแล้ว พึงเป็นผู้
สำรวมที่ท้อง มีจิตไม่หย่อหย่อน และไม่พึงคิดมาก เป็นผู้ไม่มีกลิ่นดิบ
อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้วมีพรหมจรรย์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
พึงศึกษาเพื่อการนั่งผู้เดียวและเพื่อประกอบภาวนาที่สมณะพึงอบรม
ท่านผู้เดียวแลจักอภิรมย์ความเป็นมุนีที่เราบอกแล้วโดยส่วนเดียว ทีนั้น
จงประกาศไปตลอดทั้งสิบทิศ ท่านได้ฟังเสียงสรรเสริญ ของนักปราชญ์
ทั้งหลายผู้เพ่งฌาน ผู้สละกามแล้ว แต่นั้นพึงกระทำหิริและศรัทธาให้
ยิ่งขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นสาวกของเราได้ ท่านจะรู้แจ่มแจ้งซึ่ง
คำที่เรากล่าวนั้นได้ ด้วยการแสดงแม่น้ำทั้งหลาย ทั้งในเหมืองและหนอง
แม่น้ำห้วยย่อมไหลดังโดยรอบ แม่น้ำใหญ่ย่อมไหลนิ่ง สิ่งใดพร่อง