พระสุตตันตปิฎกไทย: 23/352/245

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
เล่ม 23
หน้า 352
เสนาสนะที่สงัด คือป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธอ อยู่ป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เบื้องหน้า ละอภิชฌาใน โลกเสีย มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา ละความประทุษร้าย คือ พยาบาท มีจิตไม่พยาบาทอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือพยาบาท ละถีนมิทธะ ปราศจากความง่วงเหงาหาวนอน มีความสำคัญในแสงสว่างอยู่ มีสติสัมปชัญญะ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ในภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจะกุกกุจจะละวิจิกิจฉา ข้ามพ้นวิจิกิจฉา ไม่เคลือบ แคลงสงสัยในกุศลทั้งหลาย ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา เธอละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ อันเป็น อุปกิเลสแห่งใจทำปัญญาให้ทุรพลแล้ว สงัดจากกาม ... บรรลุปฐมฌาน ... เธอมีใจชื่นชม บำบัด ความระคายใจได้ เธอบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน มีใจชื่นชมบำบัดความ ระคายใจได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ฯลฯ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯ บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ฯลฯ บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ฯลฯ บรรลุเนวสัญญานาสัญญา ยตนฌาน ฯลฯ บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ อาสวะของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา เธอมีใจชื่นชมบำบัดความระคายใจได้ ฯ จบสูตรที่ ๙ ตปุสสสูตร
[๒๔๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชนชาวมัลละ ชื่ออุรุเวลกัปปะ ในแคว้นมัลละ ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังอุรุเวลกัปปนิคม ครั้นแล้วเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ตรัส เรียกท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์เธอจงอยู่ในที่นี้ก่อน จนกว่าเราจะไปถึงป่ามหาวันเพื่อผัก ผ่อนในกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จถึง ป่ามหาวันประทับพักผ่อนกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฯ ครั้งนั้นแล ตปุสสคฤหบดี เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า