พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/362/410

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 362
ทุฏฐัฏฐกสูตรที่ ๓
[๔๑๐] เดียรถีย์บางพวก มีใจประทุษร้าย ย่อมติเตียนโดยแท้แม้อนึ่ง พวกชน ที่ฟังคำของเดียรถีย์เหล่านั้นแล้ว ปลงใจเชื่อจริง ก็ติเตียน แต่มุนี ย่อมไม่เข้าถึงการติเตียนที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุนั้น มุนีย่อมไม่มีหลักตอ คือ ราคะ โทสะและโมหะ ในโลกไหนๆ บุคคลผู้ถูกความพอใจ ครอบงำแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในความชอบใจ จะพึงล่วงทิฐิของตนได้ อย่างไรเล่า บุคคลกระทำทิฐิเหล่านั้นให้บริบูรณ์ด้วยตนเองรู้อย่างใด ก็พึงกล่าวอย่างนั้น ผู้ใดไม่ถูกเขาถามเลย กล่าวอวดอ้างศีลและวัตร ของตนแก่ผู้อื่น ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า ผู้ไม่มีอริยธรรม ผู้ใด กล่าวอวดตนด้วยตนเองผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวการอวดของผู้นั้นว่า ผู้นี้ ไม่มีอริยธรรมส่วนภิกษุผู้สงบ มีตนดับแล้ว ไม่กล่าวอวดในศีล ทั้งหลายว่าเราเป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวภิกษุ นั้นว่า มีอริยธรรม ภิกษุใดไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้นในโลกไหนๆ ผู้ฉลาด ทั้งหลายกล่าวการไม่กล่าวอวดของภิกษุนั้นว่า ภิกษุนี้มีอริยธรรม ธรรม คือ ทิฐิอันปัจจัยกำหนดปรุงแต่งแวดล้อม ไม่ผ่องแผ้ว ย่อมมีแก่ ผู้ใด ผู้นั้นเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุที่ผู้นั้นเห็นอานิสงส์ มีคติวิเศษ เป็นต้นในตน ฉะนั้นจึงเป็นผู้อาศัยทิฐินั้นอันละเอียด อาศัยความ กำเริบนรชนตัดสินธรรมที่ตนยึดหมั่นแล้วในธรรมทั้งหลาย ไม่พึงล่วง การยึดมั่นด้วยทิฐิได้โดยง่ายเลย เพราะเหตุนั้น นรชนย่อมยึดถือและ ถือมั่นธรรม ในเพราะความยึดมั่นด้วยทิฐิเหล่านั้น ก็บุคคลผู้มีปัญญา ไม่มีทิฐิอันปัจจัยกำหนดแล้วในภพและมิใช่ภพ ในโลกไหนๆ บุคคล ผู้มีปัญญานั้นละมายาและมานะได้แล้ว จะพึงถึงการนับเข้าในคติพิเศษ ในในนรกเป็นต้น ด้วยคติพิเศษอะไร บุคคลผู้มีปัญญานั้นไม่มี ตัณหาและทิฐิ ก็บุคคลผู้มีตัณหาและทิฐิ ย่อมเข้าถึงวาทะใน ธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นจะพึงกล่าวกะพระขีณาสพผู้ไม่มีตัณหาและทิฐิว่า