พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/365/413
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
บุคคลผู้อาศัยศาสดาของตนแล้ว เห็นศาสดาอื่นเป็นคนเลว เพราะ
ความเห็นอันใด ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวความเห็นนั้นว่า เป็นกิเลสเครื่อง
ร้อยรัด เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุไม่พึงยึดมั่นรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง
อารมณ์ที่ได้ทราบ หรือศีลและพรต แม้ทิฐิก็ไม่พึงกำหนดด้วยญาณ
หรือแม้ด้วยศีลและพรตในโลก ไม่พึงนำตนเข้าไปเปรียบว่า เป็นผู้
เสมอเขา ไม่พึงสำคัญว่า เป็นผู้เลวกว่าเขา หรือว่าเป็นผู้วิเศษกว่าเขา
ภิกษุนั้นละความเห็นว่าเป็นตนได้แล้ว ไม่ถือมั่นอยู่ ย่อมไม่กระทำนิสัย
(ตัณหานิสัยและทิฐินิสัย) แม้ในญาณ ไม่เป็นผู้แล่นไปเข้าพวกใน
สัตว์ทั้งหลายผู้แตกต่างกันด้วยอำนาจทิฐิต่างๆ ย่อมไม่กลับมาแม้สู่ทิฐิ
อะไรๆ พราหมณ์ในโลกนี้ไม่มีตัณหาในส่วนสุดทั้ง ๒ มีผัสสะเป็นต้น
เพื่อความเกิดบ่อยๆ ในโลกนี้หรือในโลกอื่น ไม่มีความยึดมั่นอะไรๆ
ไม่มีสัญญาอันปัจจัยกำหนดแล้วแม้แต่น้อย ในรูปที่ได้เห็น ในเสียง
ที่ได้ฟังหรือในอารมณ์ที่ได้ทราบ ในโลกนี้ เพราะได้ตัดสินธรรมที่ตน
ยึดถือแล้วในธรรมทั้งหลาย ใครๆ จะพึงกำหนดพราหมณ์นั้นผู้ไม่ถือมั่น
ทิฐิ ด้วยการกำหนดด้วยตัณหาหรือด้วยการกำหนดด้วยทิฐิอะไรๆ ใน
โลกนี้ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมไม่กำหนดด้วยตัณหาหรือทิฐิ ย่อมไม่
กระทำตัณหาและทิฐิไว้ในเบื้องหน้า แม้ธรรมคือทิฐิทั้งหลาย
พราหมณ์เหล่านั้นก็มิได้ปกปิดไว้ พราหมณ์ผู้อันใครๆ จะพึงนำไป
ด้วยศีลและพรตไม่ได้ ถึงฝั่ง คือ นิพพานแล้ว เป็นผู้คงที่ ย่อมไม่
กลับมาหากิเลสทั้งหลายอีก ฉะนั้นแล ฯ
จบปรมัฏฐกสูตรที่ ๕
ชราสูตรที่ ๖
[๔๑๓] ชีวิตนี้น้อยนัก สัตว์ย่อมตายแม้ภายใน ๑๐๐ ปี ถ้าแม้สัตว์เป็นอยู่เกิน
(๑๐๐ ปี) ไปไซร้ สัตว์นั้นก็ย่อมตายแม้เพราะชราโดยแท้แล ชน