พระสุตตันตปิฎกไทย: 9/369/382

สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
เล่ม 9
หน้า 369
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะ มาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมอง ได้แลหรือ? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้. ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แต่ พรหมยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังจิตให้เป็นไป ในอำนาจไม่ได้ กับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ได้แลหรือ? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้. ถูกละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ ได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นในโลกนี้จมลง แล้ว ยังจมอยู่ ครั้นจมลงแล้วย่อมถึงความย่อยยับ สำคัญว่าข้ามได้ง่าย เพราะฉะนั้น ไตรวิชชานี้ เราเรียกว่า ป่าใหญ่คือไตรวิชชาบ้าง ว่าดงกันดารคือไตรวิชชาบ้าง ว่าความพินาศคือไตรวิชชา บ้าง ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา.
[๓๘๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่ พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบทางเพื่อความเป็นสหาย แห่งพรหม. ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกล จากนี้มิใช่หรือ? ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้ พระเจ้าข้า. ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วใน มนสากตคามนี้ ออกไปจากมนสากตคามในทันใด พึงถูกถามหนทางแห่งมนสากตคาม ดูกร วาเสฏฐะ จะพึงมีหรือที่บุรุษนั้นผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงหนทางแห่ง มนสากตคามแล้ว จะชักช้าหรืออ้ำอึ้ง?