พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/408/853 854 855      
      สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
      
     
 
    
        
          
            			      ๑๐.  อินทริยภาวนาสูตร  (๑๕๒)
 [๘๕๓]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
	สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่  ในนิคมชื่อกัชชังคลา  ครั้งนั้นแล
อุตตรมาณพ  ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่  ประทับ  แล้วทูลปราศรัย
กับพระผู้มีพระภาค  ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้  ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง  ณ  ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง  ฯ
 [๘๕๔]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า  ดูกร  อุตตระ  ปารา
สิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า  ฯ
	อุ.  แสดง  พระโคดมผู้เจริญ  ฯ
	พ.  ดูกรอุตตระ  แสดงอย่างใด  ด้วยประการใด  ฯ
	อุ.  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ในเรื่องนี้  ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ  เจริญอินทรีย์
แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า  อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ  อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต  ฯ
	พ.  ดูกรอุตตระ  เมื่อเป็นเช่นนี้  คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์
ต้องเป็นคนตาบอด  ต้องเป็นคนหูหนวก  เพราะคนตาบอด  ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ  คนหูหนวก
ไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้  อุตตรมาณพ  ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์
นั่งนิ่ง  เก้อเขิน  คอตกก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  ฯ
 [๘๕๕]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์
 นิ่ง  คอตก  ก้มหน้า  ซบเซา  หมดปฏิภาณ  จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า  ดูกรอานนท์
ปาราสิริยพราหมณ์  ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์  แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง  ส่วนการเจริญอินทรีย์
อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ  ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง  ฯ
	ท่านพระอานนท์ทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต  เป็นการสมควรแล้ว  ที่พระผู้มีพระภาค
จะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า  ในวินัยของพระอริยะ  ภิกษุทั้งหลายฟังต่อ
พระผู้มีพระภาคแล้ว  จักทรงจำไว้  ฯ