พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/41/34
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ไซร้ บุคคลนั้นพึงครอบงำอันตรายทั้งปวง มีใจชื่นชม มีสติเที่ยวไป
กับสหายนั้น ถ้าว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ผู้เที่ยวไปด้วย
กันมีปกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้ บุคคลนั้นพึงเที่ยวไปผู้
เดียวดุจพระราชาทรงละแว่นแคว้น อันพระองค์ทรงชนะ แล้วเสด็จเที่ยว
ไปพระองค์เดียว ดุจช้างชื่อมาตังคะละโขลงเที่ยวไปตัวเดียวในป่า
ฉะนั้น การเที่ยวไปของบุคคลผู้เดียวประเสริฐกว่า เพราะความเป็น
สหายไม่มีในเพราะชนพาล บุคคลพึงเที่ยวไปผู้เดียว ดุจช้างชื่อมาตังคะ
มีความขวนขวายน้อยเที่ยวไปในป่า และไม่พึงทำบาปทั้งหลาย
สหายทั้งหลายเมื่อความต้องการเกิดขึ้น นำความสุขมาให้ ความยิน
ดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นำมาซึ่งความสุข บุญนำความสุขมาให้ใน
เวลาสิ้นชีวิต การละทุกข์ได้ทั้งหมดนำมาซึ่งความสุขความเป็นผู้เกื้อกูล
มารดานำมาซึ่งความสุขในโลก ความเป็นผู้เกื้อกูลบิดานำมาซึ่งความสุข
ความเป็นผู้เกื้อกูลสมณะนำมาซึ่งความสุขในโลกและความเป็นผู้เกื้อกูล
พราหมณ์นำมาซึ่งความสุขในโลก ศีลนำมาซึ่งความสุขตราบเท่าชรา
ศรัทธาตั้งมั่นแล้วนำมาซึ่งความสุข การได้เฉพาะซึ่งปัญญานำมาซึ่ง
ความสุข การไม่ทำบาปทั้งหลายนำมาซึ่งความสุข ฯ
จบนาควรรคที่ ๒๓
คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔
[๓๔] ตัณหาย่อมเจริญแก่มนุษย์ผู้ประพฤติประมาท ดุจเคลือเถาย่านทราย
ฉะนั้น บุคคลนั้นย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อยใหญ่ ดังวานรปรารถนาผลไม้
เร่ร่อนไปในป่า ฉะนั้น ตัณหานี้ลามกซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลก
ย่อมครอบงำบุคคลใดความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดุจ
หญ้าคมบางอันฝนตกเชยแล้วงอกงามอยู่ในป่า ฉะนั้น บุคคลใดแล