พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/413/443

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เล่ม 25
หน้า 413
แล้วด้วยประการใด ผู้ใดพึงปฏิบัติตามด้วยประการนั้นก็พึงจากฝั่งนี้ไป ถึงฝั่งโน้นได้ ผู้นั้นเจริญมรรคอันอุดมอยู่ก็พึงจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้นได้ ธรรมปริยายนั้นเป็นทางเพื่อไปสู่ฝั่งโน้น เพราะฉะนั้น ธรรมปริยายนั้น จึงชื่อว่า ปรายนะ ฯ
[๔๔๓] ปิงคิยมาณพกล่าวคาถาว่า อาตมาจักขับตามภาษิตเครื่องไปยังฝั่งโน้น (อาตมาขอกล่าวตามที่พระผู้ มีพระภาคได้ทรงเห็นแล้วด้วยพระญาณ) พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ปราศ จากมลทิน มีพระปัญญากว้างขวางไม่มีความใคร่ ทรงดับกิเลสได้แล้ว จะพึงตรัสมุสาเพราะเหตุอะไร เอาเถิด อาตมาจักแสดงวาจาที่ควรเปล่ง อันประกอบด้วยคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงละความหลงอันเป็นมลทิน ได้แล้ว ทรงละความถือตัวและความลบหลู่ได้เด็ดขาด ดูกรท่าน พราหมณาจารย์ พระพุทธเจ้าทรงบรรเทาความมืด มีพระจักษุรอบคอบ ทรงถึงที่สุดของโลก ทรงล่วงภพได้ทั้งหมด ไม่มีอาสวะ ทรงละทุกข์ ได้ทั้งปวง มีพระนามตามความเป็นจริงว่า พุทโธอันอาตมาเข้าเฝ้าแล้ว นกพึงละป่าเล็กแล้วมาอยู่อาศัยป่าใหญ่อันมีผลไม้มาก ฉันใด อาตมา มาละคณาจารย์ผู้มีความเห็นน้อยแล้ว ได้ประสบพระพุทธเจ้าผู้มีความ เห็นประเสริฐ เหมือนหงส์โผลงสู่สระใหญ่ แม้ฉันนั้นก่อนแต่ศาสนา ของพระโคดม อาจารย์เหล่าใด ได้พยากรณ์ลัทธิของตนแก่อาตมาใน กาลก่อนว่า เหตุนี้ได้เป็นมาแล้วอย่างนี้ จักเป็นอย่างนี้ คำพยากรณ์ ของอาจารย์เหล่านั้นทั้งหมด ไม่ประจักษ์แก่ตน คำพยากรณ์ทั้งหมด นั้น เป็นเครื่องทำความตรึกให้ทวีมากขึ้น (อาตมาไม่พอใจในคำพยากรณ์ นั้น) พระโคดมพระองค์เดียวทรงบรรเทาความมืดสงบระงับ มีพระ รัศมีโชติช่วง มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญา กว้างขวาง ได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วย กาล เป็นที่สิ้นตัณหาไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่ไหนๆ มิได้ แก่ อาตมา ฯ