พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/414/443
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
พราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์กล่าวคาถาถามพระปิงคิยะว่า
ท่านปิงคิยะ พระโคดมพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็น
เอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหาไม่มีจัญไร หาอุปมาในที่
ไหนๆ มิได้แก่ท่าน เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงอยู่ปราศจากพระโคดม
พระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญา
กว้างขวางสิ้นกาลแม้ครู่หนึ่งเล่า ฯ
พระปิงคิยะกล่าวคาถาตอบพราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์ว่า
ท่านพราหมณ์ พระโคดมพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึง
เห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่สิ้นตัณหาไม่มีจัญไร หาอุปมาใน
ที่ไหนๆ มิได้ แก่อาตมา อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระโคดมพระองค์
นั้น ผู้มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน มีพระปัญญากว้างขวาง
สิ้นกาลแม้ครู่หนึ่ง ท่านพราหมณ์ อาตมาไม่ประมาททั้งกลางคืน
กลางวัน เห็นอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้นด้วยใจเหมือนเห็น
ด้วยจักษุ ฉะนั้น อาตมานมัสการอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้น
ตลอดราตรี อาตมามาสำคัญความไม่อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระ
องค์นั้น ด้วยความไม่ประมาทนั้น ศรัทธา ปีติ มานะ และสติของ
อาตมาย่อมน้อมไปในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้โคดม พระพุทธ
เจ้าผู้โคดมผู้มีพระปัญญากว้างขวาง ประทับอยู่ยังทิศาภาคใดๆ อาตมา
นั้นเป็นผู้นอบน้อมไปโดยทิศาภาคนั้นๆ นั่นแลร่างกายของอาตมาผู้แก่
แล้ว มีกำลังและเรี่ยวแรงน้อยนั่นเองท่านพราหมณ์ อาตมาไปสู่พระ
พุทธเจ้าด้วยการไปแห่งความดำริเป็นนิตย์ เพราะว่าใจของอาตมาประกอบ
แล้วด้วยพระพุทธเจ้านั้น อาตมานอนอยู่บนเปือกตม คือกาม ดิ้นรนอยู่
(เพราะตัณหา) ลอยจากเกาะหนึ่งไปสู่เกาะหนึ่ง ครั้งนั้นอาตมาได้เห็น
พระสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงข้ามโอฆะได้แล้ว ไม่มีอาสวะ ฯ
(ในเวลาจบคาถานี้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ของพระปิงคิยะ
และพราหมณ์พาวรีแล้ว ประทับอยู่ ณ นครสาวัตถีนั้นเองทรงเปล่งพระรัศมีดุจทองไปแล้ว