พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/430/628
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ดูกรอัสสลายนะ ครั้งนั้นแล อสิตเทวละฤาษีเดินไปมาอยู่ในบริเวณของพราหมณ์ฤาษี ๗ ตน
กล่าวอย่างนี้ว่า เออท่านพราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมดหนอ เออท่านพราหมณ์ฤาษีเหล่านี้
ไปไหนกันหมดหนอ. ดูกรอัสสลายนะ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ฤาษี ๗ ตน ได้กล่าวกะ
อสิตเทวละฤาษีว่า ใครหนอนี่เหมือนเด็กชาวบ้านเดินไปมาอยู่ที่บริเวณบรรณศาลาของพราหมณ์
ฤาษี ๗ ตน กล่าวอย่างนี้ว่า เออท่าน พราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมด เออท่าน พราหมณ์ฤาษี
เหล่านี้ไปไหนกันหมด เอาละ เราทั้งหลายจักสาปแช่งมัน. ดูกรอัสสลายนะ ลำดับนั้น
พราหมณ์ฤาษี ๗ ตน พากันสาปแช่งอสิตเทวละฤาษีว่า มันจงเป็นเถ้าเป็นจุรณ์ไป จงเป็นเถ้า
เป็นจุรณไป จงเป็นเถ้าเป็นจุรณไป. ดูกรอัสสลายนะ พราหมณฤาษี ๗ ตน พากันสาปแช่ง
อสิตเทวละฤาษีด้วยประการใดๆ อสิตเทวละฤาษีกลับเป็นผู้มีรูปงามกว่า เป็นผู้น่าดูกว่า และ
เป็นผู้น่าเลื่อมใสกว่า ด้วยประการนั้นๆ. ดูกรอัสสลายนะ ครั้งนั้นแล พราหมณ์ฤาษี ๗ ตน
ได้มีความคิดกันว่า ตบะของเราทั้งหลายเป็นโมฆะหนอ พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายไม่มีผล
ด้วยว่า เมื่อก่อนเราทั้งหลายสาปแช่งผู้ใดว่า เจ้าจงเป็นเถ้าเป็นจุรณไป ผู้นั้นบางคนก็เป็นเถ้าไป
แต่ผู้นี้เราทั้งหลายสาปแช่งด้วยประการใดๆ เขากลับเป็นผู้มีรูปงามกว่า เป็นผู้น่าดูกว่า และ
เป็นผู้น่าเลื่อมใสกว่า ด้วยประการนั้นๆ. อสิตเทวละฤาษีกล่าวว่า ตบะของท่านผู้เจริญทั้งหลาย
เป็นโมฆะก็หามิได้ และพรหมจรรย์ของท่านผู้เจริญทั้งหลายไม่มีผลก็หามิได้ เชิญท่านผู้เจริญ
ทั้งหลายจงละความคิดประทุษร้ายในเราเสียเถิด.
ฤา. เราทั้งหลายยอมสละความคิดประทุษร้าย ท่านเป็นใครหนอ?
เท. ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินชื่ออสิตเทวละฤาษีหรือไม่?
ฤา. ท่านผู้เจริญ เราทั้งหลายได้ยินชื่ออย่างนั้น.
เท. ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เรานี่แหละอสิตเทวละฤาษีนั้น.
ดูกรอัสสลายนะ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ฤาษี ๗ ตน พากันเข้าไปหาอสิตเทวละฤาษี
เพื่อจะไหว้. อสิตเทวละฤาษีได้กล่าวกะพราหมณ์ฤาษี ๗ ตนว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ข้าพเจ้าได้สดับข่าวนี้มาว่า พราหมณ์ฤาษี ๗ ตนมาประชุมในกระท่อมอันมุงบังด้วยใบไม้ในราวป่า
เกิดทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ วรรณะอื่นเลว พราหมณ์