พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/433/630 631
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
๔. โฆฏมุขสูตร
โฆฏมุขพราหมณ์
[๖๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง ท่านพระอุเทนอยู่ ณ เขมิยอัมพวัน ใกล้เมืองพาราณสี. ก็สมัยนั้นแล
พราหมณ์ชื่อว่าโฆฏมุขะได้ไปถึงเมืองพาราณสีด้วยกรณียกิจบางอย่าง. ครั้งนั้นแล โฆฏมุขพราหมณ์
เดินเที่ยวไปมาเป็นการพักผ่อน ได้เข้าไปยังเขมิยอัมพวัน. ก็สมัยนั้น ท่านพระอุเทนเดินจงกรม
อยู่ในที่แจ้ง. โฆฏมุขพราหมณ์เข้าไปหาท่านพระอุเทนถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอุเทน
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้เดินตามพระอุเทนผู้กำลังเดินจงกรมอยู่ ได้กล่าว
อย่างนี้ว่า ดูกรสมณะผู้เจริญ การบวชอันชอบธรรมย่อมไม่มี ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามีความเห็น
อย่างนี้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายเช่นท่านไม่เห็นข้อนั้น หรือไม่เห็นธรรมในเรื่องนี้.
[๖๓๑] เมื่อโฆฏมุขพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุเทนลงจากที่จงกรม เข้าไปยัง
วิหาร แล้วนั่งบนอาสนะที่จัดไว้. แม้โฆฏมุขพราหมณ์ก็ลงจากที่จงกรม เข้าไปยังวิหาร แล้ว
ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว ท่านพระอุเทนได้กล่าวกะโฆฏมุขพราหมณ์ว่า ดูกร
พราหมณ์ อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านปรารถนาก็เชิญนั่งเถิด.
โฆ. ก็ข้าพเจ้ารอการเชื้อเชิญของท่านพระอุเทนนี้แล จึงยังไม่นั่ง เพราะว่าคนเช่น
ข้าพเจ้า อันใครไม่เชื้อเชิญก่อนแล้ว จะพึงสำคัญการที่จะพึงนั่งบนอาสนะอย่างไร.
ลำดับนั้นแล โฆฏมุขพราหมณ์ถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่ง แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอุเทนว่า ดูกรสมณะผู้เจริญ การบวชอันชอบธรรมย่อมไม่มี ในเรื่องนี้
ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายเช่นท่านไม่เห็นข้อนั้น หรือไม่เห็นธรรม
ในเรื่องนี้. ท่านพระอุเทนกล่าวว่า ดูกรพราหมณ์ ถ้าท่านพึงยอมคำที่ควรยอม และพึงคัดค้าน