พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/445/646 647

สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เล่ม 13
หน้า 445
๕. จังกีสูตร เรื่องจังกีพราหมณ์
[๖๔๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้: สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงพราหมณคามของชนชาวโกศลชื่อว่า โอปาสาทะ. ได้ทราบว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ ป่าไม้สาละอันชื่อว่าเทพวัน ทางทิศเหนือแห่งโอปาสาทพราหมณคาม. ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ชื่อว่า จังกีปกครองโอปาสาทพราหมณคาม อันคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมไปด้วยหญ้า ไม้และน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร เป็นราชสมบัติอันพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงโปรดพระราชทานเป็นรางวัลให้เป็นสิทธิ์.
[๖๔๗] พราหมณ์และคฤหบดี ชาวโอปาสาทพราหมณคามได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดม ศากยบุตรเสด็จออกผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ ใหญ่ เสด็จถึงโอปาสาทพราหมณคาม ประทับอยู่ ณ ป่าไม้สาละอันชื่อว่าเทพวัน ทางทิศเหนือ แห่งโอปาสาทพราหมณคาม ก็กิติศัพท์อันงดงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ได้ขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและ มนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ เห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล. ครั้งนั้นแล พราหมณ์และคฤหบดีชาวโอปาสาทพราหมณคาม พากันออกจาก โอปาสาทพราหมณคามเป็นหมู่ๆ มุ่งหน้าไปทางทิศอุดร พากันไปทางป่าไม้สาละอันชื่อว่าเทพวัน. ก็สมัยนั้นแล จังกีพราหมณ์นอนพักผ่อนกลางวันอยู่ในปราสาทชั้นบน.