พระสุตตันตปิฎกไทย: 13/450/652 653

สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เล่ม 13
หน้า 450
พระภาค. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงห้ามกาปทิกมาณพว่า เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่า กำลังเจรจาอยู่ ท่านภารทวาชะอย่าพูดสอดขึ้นในระหว่างๆ ซิ ท่านภารทวาชะจงรอให้จบเสียก่อน. กาปทิกมาณพทูลถามบทมนต์
[๖๕๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว จังกีพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม อย่าทรงห้ามกาปทิกมาณพเลย กาปทิกมาณพเป็นบุตรของผู้มีสกุล เป็นพหูสูต เป็นบัณฑิต เจรจาถ้อยคำไพเราะ และสามารถจะเจรจาโต้ตอบในคำนั้นกับท่านพระโคดมได้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริว่า กาปทิกมาณพ จักสำเร็จการศึกษาในปาพจน์ คือ ไตรวิชาเป็นแน่แท้ พราหมณ์ทั้งหลาย จึงยกย่องเขาถึงอย่างนั้น. ครั้งนั้น กาปทิกมาณพได้มี ความคิดว่า พระสมณโคดมจักทอดพระเนตรสบตาเรา เมื่อใดเราจักทูลถามปัญหากะพระสมณโคดม เมื่อนั้น. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของกาปทิกมาณพด้วย พระหฤทัยแล้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางกาปทิกมาณพ. ครั้งนั้นแล กาปทิกมาณพได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมทรงใส่พระทัยเราอยู่ มิฉะนั้นเราพึงทูลถามปัญหากะพระสมณโคดมเถิด. ลำดับนั้น แล กาปทิกมาณพได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านโคดม ก็ในบทมนต์อันเป็นของเก่า ของพราหมณ์ทั้งหลาย โดยนำสืบต่อกันมาตามคัมภีร์ พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมถึงความตกลงโดย ส่วนเดียวว่า สิ่งนี้แลจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้ ในเรื่องนี้ ท่านพระโคดมตรัสว่าอย่างไร?
[๖๕๓] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภารทวาชะ ก็บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย แม้พราหมณ์คนหนึ่งเป็นใครก็ตาม ที่กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แล จริง สิ่งอื่นเปล่าดังนี้ มีอยู่หรือ? กา. ไม่มีเลย ท่านพระโคดม. พ. ดูกรภารทวาชะ ก็แม้อาจารย์ท่านหนึ่ง แม้ปาจารย์ท่านหนึ่ง จนตลอด ๗ ชั่วอาจารย์ ของพราหมณ์ทั้งหลาย ที่กล่าวอย่างนี้ว่า ข้อนี้เรารู้อยู่ ข้อนี้เราเห็นอยู่ว่า สิ่งนี้แลจริง สิ่งอื่น เปล่าดังนี้ มีอยู่หรือ? กา. ไม่มีเลย ท่านพระโคดม.