พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/53/148
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงถึงที่สุดแห่งเวททั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเวทคู.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงถึงที่สุดด้วยเวททั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเวทคู.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ชื่อว่าเวทคู เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วซึ่งธรรม ๗
ประการ คือ ทรงทราบสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ราคะ โทสะ โมหะ มานะ
และพระองค์ทรงทราบอกุศลธรรมอันลามก อันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความ
กระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา และมรณะต่อไป.
(พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสภิยะ)
บุคคลเลือกเวทเหล่าใดทั้งสิ้น เวทเหล่านั้น ของสมณพราหมณ์
ก็มีอยู่ บุคคลนั้นปราศจากราคะในเวทนาทั้งปวง ล่วงเวททั้งปวง
แล้ว ชื่อว่าเวทคู.
พระผู้มีพระภาค มีพระองค์อันให้เจริญแล้วอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคมีพระกาย มีศีล มีจิต มีปัญญา มีสติปัฏฐาน มีสัมมัปปธาน มี
อิทธิบาท มีอินทรีย์ มีพละ มีโพชฌงค์ มีมรรค อันให้เจริญแล้ว ทรงละกิเลสแล้ว ทรง
แทงตลอดอกุปปธรรมแล้ว มีนิโรธอันทรงทำให้แจ่มแจ้งแล้ว พระองค์ทรงกำหนดรู้ทุกข์ ทรง
ละสมุทัย ทรงเจริญมรรค ทรงทำให้แจ้งนิโรธแล้ว ทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ทรงกำหนด
รู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ทรงละธรรมที่ควรละ ทรงเจริญธรรมที่ควรเจริญ ทรงทำให้แจ้งซึ่งธรรม
ที่ควรทำให้แจ้ง. พระองค์มีธรรมไม่น้อย มีธรรมมาก มีธรรมลึก มีธรรมประมาณไม่ได้ มีธรรม
ยากที่จะหยั่งลงได้ มีธรรมรัตนะมาก เปรียบเหมือนทะเลหลวง ทรงประกอบด้วยฉฬังคุเบกขา
พระองค์ทรงเห็นรูปด้วยพระจักษุแล้ว ไม่ดีพระทัย ไม่เสียพระทัย ทรงวางเฉย มีสติ
สัมปชัญญะอยู่ ทรงได้ยินเสียงด้วยพระโสตแล้ว ทรงดมกลิ่นด้วยพระฆานะแล้ว ทรงลิ้มรส
ด้วยพระชิวหาแล้ว ทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกายแล้ว ทรงทราบธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส
แล้ว ไม่ดีพระทัย ไม่เสียพระทัย ทรงวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่. ทรงเห็นรูปอันน่าพอใจ
ด้วยพระจักษุแล้ว ไม่ทรงติดใจ ไม่ทรงรักใคร่ ไม่ทรงยังราคะให้เกิด. พระองค์มีพระกายคงที่
มีพระทัยคงที่ ดำรงอยู่ด้วยดีในกายใน พ้นกิเลสดีแล้ว. ทรงเห็นรูปนั้นอันไม่เป็นที่ชอบใจด้วย
พระจักษุแล้ว ไม่ทรงเก้อเขิน มีพระทัยมิได้ขัดเคือง มีพระทัยไม่หดหู่ มีพระทัยไม่พยาบาท
พระองค์มีพระกายคงที่ มีพระทัยคงที่ ดำรงอยู่ด้วยดีในภายใน พ้นกิเลสดีแล้ว. ทรงได้ยิน