พระสุตตันตปิฎกไทย: 14/54/77

สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม 14
หน้า 54
เมื่อเธอไม่ประกอบเนืองๆ ซึ่งทัสสนะคือรูปอันไม่เป็นที่สบายด้วยจักษุ ซึ่งเสียงอันไม่เป็นที่สบาย ด้วยโสต ซึ่งกลิ่นอันไม่เป็นที่สบายด้วยฆานะ ซึ่งรสอันไม่เป็นที่สบายด้วยชิวหา ซึ่งโผฏฐัพพะ อันไม่เป็นที่สบายด้วยกาย ซึ่งธรรมารมณ์อันไม่เป็นที่สบายด้วยมโน ราคะก็ไม่ตามกำจัดจิต เธอมีจิตไม่ถูกราคะตามกำจัดแล้ว ไม่พึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย เปรียบเหมือน บุรุษถูกลูกศรมียาพิษอาบไว้อย่างหนาแล้ว มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของเขาให้หมอผ่าตัด รักษา หมอผ่าตัดใช้ศาตราชำแหละปากแผลของเขา ครั้นแล้ว ใช้เครื่องตรวจค้นหาลูกศร แล้ว ถอนลูกศรออก กำจัดโทษคือพิษที่ยังมีเชื้อเหลือติดอยู่ จนรู้ว่าไม่มีเชื้อเหลืออยู่ จึงบอก อย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ เราถอน ลูกศรให้ท่านเสร็จแล้ว โทษคือพิษเราก็กำจัดจนไม่มี เชื้อเหลือติดอยู่แล้ว ท่านหมดอันตราย และพึงบริโภคโภชนะที่สบายได้ เมื่อท่านจะบริโภค โภชนะที่แสลงก็อย่าให้แผลต้องกำเริบ และท่านต้องชะแผลทุกเวลา ทายาสมานปากแผล ทุกเวลา เมื่อท่านชะแผลทุกเวลา ทายาสมานปากแผลทุกเวลา อย่าให้น้ำเหลืองและเลือด รัดปากแผลได้ และท่านอย่าเที่ยวตากลมตากแดดไปเนืองๆ เมื่อท่านเที่ยวตากลมตากแดด ไปเนืองๆ แล้ว ก็อย่าให้ละอองและของโสโครกติดตามทำลายปากแผลได้ ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านต้องคอยรักษาแผลอยู่จนกว่าแผลจะประสานกัน บุรุษนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า หมอถอน ลูกศรให้เราเสร็จแล้ว โทษ คือพิษหมอก็กำจัดจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว เราหมดอันตราย เขาจึงบริโภคโภชนะที่สบาย เมื่อบริโภคโภชนะที่สบายอยู่ และชะแผลทุกเวลา ทายาสมาน ปากแผลทุกเวลา เมื่อเขาชะแผลทุกเวลา ทายาสมานปากแผลทุกเวลาน้ำเหลืองและเลือด ก็ไม่รัดปากแผล และเขาไม่เที่ยวตากลมตากแดดไปเนืองๆ เมื่อเขาไม่เที่ยวตากลมตากแดด ไปเนืองๆ ละอองและของโสโครกก็ไม่ติดตามทำลายปากแผล เขาคอยรักษาแผลอยู่ จนแผลหาย ประสานกัน เพราะเขาทำสิ่งที่สบายนี้แล แผลจึงหายได้ด้วย ๒ ประการ คือ กำจัด ของไม่สะอาดและโทษคือพิษจนไม่มีเชื้อเหลือติดอยู่แล้ว เขามีแผลหาย ผิวหนังสนิทแล้ว จึงไม่พึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย ฉันใด ดูกรสุนักขัตตะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ข้อที่ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พึงมีความดำริอย่างนี้ว่า พระสมณะตรัสลูกศรคือตัณหาไว้แล โทษอันเป็นพิษคืออวิชชา ย่อมงอกงามได้ด้วยฉันทราคะและพยาบาท เราละลูกศรคือตัณหา