พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/68/59
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
เหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม สมณพราหมณ์ผู้ได้รับสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่าขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตร
อันสมณพราหมณ์อนุเคราะห์แล้ว พึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม ดูกรมหานามะ
ธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมมีอยู่แก่กุลบุตรคนใดคนหนึ่ง เป็นขัตติยราช ผู้ได้รับมูรธาภิเษกก็ตาม
ผู้ปกครองรัฐซึ่งได้รับมรดกจากบิดาก็ตาม เป็นอัครเสนาบดีก็ตาม ผู้ปกครองหมู่บ้านก็ตาม
หัวหน้าพวกก็ตาม ผู้เป็นใหญ่เฉพาะตระกูลก็ตาม พึงหวังได้รับความเจริญส่วนเดียวไม่มีเสื่อม ฯ
กุลบุตรผู้โอบอ้อมอารี มีศีล ย่อมทำการงานแทนมารดาบิดา บำเพ็ญ
ประโยชน์แก่บุตร ภริยา แก่ชนภายในครอบครัว แก่ผู้อาศัยเลี้ยงชีพ
แก่ชนทั้งสองประเภท กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต เมื่ออยู่ครองเรือนโดยธรรม
ย่อมยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ญาติทั้งที่ล่วงลับไปทั้งที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
แก่สมณพราหมณ์ เทวดา กุลบุตรนั้นครั้นบำเพ็ญกัลยาณธรรมแล้ว เป็น
ผู้ควรบูชา ควรสรรเสริญ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้
เขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงใจในสวรรค์ ฯ
จบสูตรที่ ๘
๙. ทุลลภสูตรที่ ๑
[๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่ ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ หาได้
ยาก ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่ เป็นคนละเอียดหาได้
ยาก เป็นผู้มีมรรยาทสมบูรณ์หาได้ยาก เป็นพหูสูตรหาได้ยาก เป็นธรรมกถึกหาได้ยาก เป็นวินัยธร
หาได้ยาก ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุบวชเมื่อแก่ ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล หาได้
ยาก ฯ
จบสูตรที่ ๙