พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/68/175 176 177

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เล่ม 30
หน้า 68
คำว่า สโต ความว่า มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ มีสติเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่อง พิจารณาเห็นกายในกาย ฯลฯ บุคคลนั้นท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีสติ. คำว่า จรํ คือ เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ... เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป.
[๑๗๕] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ท่านกล่าวว่า วิสัตติกา ตัณหาอันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่างๆ ในอุเทศว่า "ตเร โลเก วิสตฺติกํ" วิสัตติกา ในบทว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่ากระไร? ฯลฯ ซ่านไป แผ่ซ่านไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ ธรรม คือ รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ได้ทราบ และ ธรรมที่รู้แจ้ง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วิสัตติกา. คำว่า โลเก คือ ในอบายโลก ฯลฯ อายตนโลก. คำว่า ตเร โลเก วิสตฺติกํ ความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มีสติ พึงข้าม คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งตัณหา อันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่างๆ ในโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามตัณหาอันเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่างๆ ในโลก. เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์ชอบใจ พระดำรัสของพระองค์นั้น และธรรมอันสูงสุดที่บุคคล ทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้ามตัณหาอันเกาะเกี่ยว ในอารมณ์ต่างๆ ในโลกได้.
[๑๗๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรเมตตคู) ท่านย่อมรู้ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง ชั้นต่ำ และชั้นกลาง ส่วนกว้าง ท่านจงบรรเทาความยินดี ความพัวพัน และ วิญญาณในธรรมเหล่านั้นเสีย ไม่พึงตั้งอยู่ในภพ.
[๑๗๗] คำว่า ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความว่า ท่านย่อมรู้ คือ รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอดซึ่งธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านย่อมรู้ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพราหมณ์นั้น โดยชื่อว่า เมตตคู. คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูกรเมตตคู.