พระสุตตันตปิฎกไทย: 22/73/68

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
เล่ม 22
หน้า 73
อรหัตผลหรือเมื่อมีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ในปัจจุบันนี้เทียว ธรรม ๕ ประการ เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธาน สังขาร ๑ ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ ประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและ ปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญวิริยะอย่างยิ่งเป็นที่ ๕ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูป หนึ่ง ย่อมเจริญ ย่อมทำให้มาก ซึ่งธรรม ๕ ประการนี้แลภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น พึงหวังได้ ผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลหรือเมื่อมีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ เป็นพระอนาคา มี ในปัจจุบันนี้เทียว ฯ จบสูตรที่ ๗ ๘. อิทธิปาทสูตรที่ ๒
[๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนแต่ตรัสรู้ เราเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้เจริญ ทำให้มากซึ่งธรรม ๕ ประการ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉนคือ เราได้เจริญอิทธิบาท ที่ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ๑ ได้เจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธาน สังขาร ๑ ได้เจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร ๑ ได้เจริญอิทธิบาทที่ ประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ๑ ได้เจริญวิริยะอย่างยิ่งเป็นที่ ๕ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ทำให้มากซึ่งธรรมมีวิริยะอย่างยิ่งเป็นที่ ๕ นี้ เราได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมที่จะพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งใดๆ เมื่อเหตุมีอยู่ เราถึงความเป็น ผู้ควรเป็นพยานได้ในธรรมนั้นๆ โดยแน่นอน ถ้าเราหวังก็พึงแสดงฤทธิ์ได้หลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เมื่อเหตุมีอยู่ เราถึงความ เป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้โดยแน่นอน ฯลฯ ถ้าเราหวัง ก็พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ