พระสุตตันตปิฎกไทย: 30/85/213 214 215
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเป็นผู้มีปัญญา มีสติ ทำความเพียรในทิฏฐินี้
นี่แหละ. บุคคลได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว พึงศึกษานิพพาน
เพื่อตน.
[๒๑๓] ข้าพระองค์ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นเทพผู้ไม่มีเครื่องกังวล เป็น
พราหมณ์ เที่ยวอยู่ในมนุษยโลก. ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันต
จักษุ ข้าพระองค์ขอนมัสการพระองค์นั้น. ข้าแต่พระสักกะ
ขอพระองค์จงปลดเปลื้องข้าพระองค์ จากความสงสัยทั้งหลาย.
[๒๑๔] เทพ ในอุเทศว่า "ปสฺสามหํ เทวมนุสฺสโลเก" ดังนี้ มี ๓
คือ สมมติเทพ ๑ อุปบัติเทพ ๑ วิสุทธิเทพ ๑. สมมติเทพเป็นไฉน? พระราชา พระราช
กุมารและพระเทวี เรียกว่า สมมติเทพ.
อุปบัติเทพเป็นไฉน? เทวดาชาวจาตุมหาราชิกา เทวดาชาวดาวดึงส์ เทวดาชาวยามา
เทวดาชาวดุสิต เทวดาชาวนิมมานรดี เทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดี เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม
และเทวดาในชั้นที่สูงกว่า เรียกว่าอุปบัติเทพ.
วิสุทธิเทพเป็นไฉน? พระอรหันตขีณาสพสาวกของพระตถาคต และพระปัจเจก
สัมพุทธเจ้า เรียกว่า วิสุทธิเทพ.
พระผู้มีพระภาคเป็นเทพ เป็นเทพยิ่งกว่าสมมติเทพ กว่าอุปบัติเทพ และกว่าวิสุทธิเทพ
ทั้งหลาย เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสีหะยิ่งกว่าสีหะ เป็นนาคยิ่งกว่านาค เป็นเจ้าคณะยิ่งกว่า
เจ้าคณะ เป็นมุนียิ่งกว่ามุนี เป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา.
คำว่า ปสฺสามหํ เทว มนุสฺสโลเก ความว่า ข้าพระองค์ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นเทพ
คือ ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นอติเทพ ย่อมเห็น ย่อมดู ย่อมแลดู ย่อมเพ่งดู ย่อมเข้าพิจารณา
ซึ่งพระองค์ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นเทพ ...
ในมนุษยโลก.
[๒๑๕] คำว่า อกิญฺจนํ ในอุเทศว่า "อกิญฺจนํ พฺราหฺมณํ อริยมานํ" ดังนี้ ความว่า
ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต เป็นเครื่องกังวล เครื่องกังวลเหล่านั้น
อันพระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน