พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/92/90 91
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
และภพใหญ่ ส่วนบุคคลผู้มีความเพียร มีสติ ทราบวิตกแห่งใจ
เหล่านี้แล้ว ย่อมปิดเสีย พระอริยสาวกผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมละได้เด็ดขาด
ไม่มีส่วนเหลือ ซึ่งวิตกเหล่านี้ที่ตั้งมั่นแล้ว ทำใจให้เย่อหยิ่ง ฯ
จบสูตรที่ ๑
๒. อุทธตสูตร
[๙๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สาลวัน อันเป็นที่เสด็จประพาสของมัลลกษัตริย์
ทั้งหลาย ใกล้กรุงกุสินารา ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่ง
กลับกลอก มีปากกล้า มีวาจาเกลื่อนกล่น มีสติหลงลืม ไม่รู้สำนึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิต
หมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ อยู่ในกุฎีที่เขาสร้างไว้ในป่า ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นภิกษุเหล่านั้น ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่ง ปากกล้า วาจาเกลื่อนกล่น
มีสติหลงลืม ไม่รู้สำนึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ อยู่ในกุฎีที่เขา
สร้างไว้ในป่าในที่ไม่ไกล ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลา
นั้นว่า
ภิกษุมีกายไม่รักษาแล้ว เป็นมิจฉาทิฐิ และถูกถีนมิทธะครอบงำแล้ว
ย่อมไปสู่อำนาจแห่งมาร เพราะเหตุนั้นภิกษุพึงเป็นผู้รักษาจิต มีความ
ดำริชอบเป็นโคจร มุ่งสัมมาทิฐิเป็นเบื้องหน้า รู้ความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไปแล้วครอบงำถีนมิทธะ พึงละทุคติทั้งหมดได้ ฯ
จบสูตรที่ ๒
๓. โคปาลสูตร
[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้