พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/94/344 345 346 347
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
[๓๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชอบแล้วๆ มหาบพิตร กษัตริย์ มหาศาล
พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล แม้บางพวกเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์ มาก ฯลฯ มีทรัพย์คือ
ข้าวเปลือกมากมาย ยังจักกล่าวมุสาทั้งที่รู้สึกอยู่ เพราะเหตุแห่งกาม เพราะเรื่องกาม เพราะมี
กามเป็นเค้ามูล ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อความ เสื่อมประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่พวกเขาตลอดกาล
นาน ฯ
[๓๔๕] พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้กำหนัดกล้าในโภคทรัพย์ที่น่าใคร่ มักมากหลงใหล
ในกามคุณ ย่อมไม่รู้สึกการล่วงเกิน เหมือนพวกปลากำลังเข้าไปสู่เครื่อง
ดัก ซึ่งอ้าดักอยู่ ฉะนั้น ผลอันเผ็ดร้อนย่อมมีแก่สัตว์พวกนั้นใน
ภายหลัง เพราะว่ากรรมเช่นนั้นมีวิบากเลวทราม ฯ
มัลลิกาสูตรที่ ๘
[๓๔๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่ง ท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ประทับ ณ ปราสาทอันประเสริฐชั้นบน
พร้อมด้วยพระนางมัลลิการาชเทวี ฯ
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ตรัสกับพระนางมัลลิการาชเทวีว่า แน่ะ มัลลิกา
ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมมีแก่เธอหรือหนอแล ฯ
พระนางมัลลิกาได้ทูลสนองว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่ง เป็นที่รักยิ่งกว่าตน
ย่อมไม่มีแก่หม่อมฉันแล ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่งเป็นที่รักยิ่ง กว่าตน ย่อมมีแก่พระองค์หรือไฉน ฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า แน่ะมัลลิกา คนอื่นใครๆ ซึ่งเป็นที่รักยิ่ง กว่าตนย่อมไม่มี
แม้แก่ฉัน ฯ
[๓๔๗] ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลงจากปราสาทเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ