พระสุตตันตปิฎกไทย: 24/94/55
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
เถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อท่านพระสารีบุตรแล้วจักทรงจำไว้ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกร
อาวุโสทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังจงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นรับคำ
ท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม
พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอแล ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ไม่ฟังธรรมที่ไม่เคยฟัง ๑ ธรรมที่ภิกษุนั้นฟังแล้วย่อมถึงความเลอะเลือน ๑ธรรมที่ภิกษุ
นั้นเคยถูกต้องด้วยใจในกาลก่อน ย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ๑ ภิกษุนั้นย่อมไม่รู้ธรรมที่ตนยังไม่รู้ ๑
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อมพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วด้วยเหตุมีประมาณ
เท่านี้แล ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ส่วนบุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ด้วยเหตุ
มีประมาณเท่าไร ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมฟังธรรมที่ตนไม่เคยฟังมา ๑
ธรรมที่ภิกษุนั้นเคยฟังแล้ว ย่อมไม่ถึงความเลอะเลือน ๑ ธรรมที่ภิกษุนั้นเคยถูกต้องด้วยใจใน
กาลก่อน ย่อมปรากฏ ๑ ภิกษุนั้นย่อมรู้ธรรมที่ตนยังไม่รู้ ๑ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้มีธรรม
อันไม่เสื่อมพระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้แล้วด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย หากว่าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวารจิตของผู้อื่นไซร้เมื่อเป็นเช่นนั้น
ท่านทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ฉลาดในวารจิตของตน ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวารจิตของตนอย่างไร ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปรกติชอบแต่งตัวส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่อง
อันบริสุทธิ์หมดจด หรือในภาชนะน้ำอันใสถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็ย่อมพยายามกำจัด
ธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย ถ้าไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้นก็ย่อมดีใจ มีความดำริอันบริบูรณ์ด้วยเหตุ
นั้นนั่นเทียวว่าเป็นลาภของเราแล้วหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย การพิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอธรรมนี้มีอยู่แก่เรา