พระสุตตันตปิฎกไทย: 15/95/348 349 350
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระ
ภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หม่อมฉันได้อยู่ที่ปราสาทอัน ประเสริฐชั้นบนกับด้วยพระนาง
มัลลิการาชเทวี ได้พูดกับพระนางมัลลิการาชเทวีว่า แน่ะมัลลิกา ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่งเป็นที่รัก
ยิ่งกว่าตน ย่อมมีอยู่หรือหนอแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้นหม่อมฉันพูดอย่างนี้แล้ว พระนาง
มัลลิการาชเทวีได้ทูล สนองหม่อมฉันว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่งเป็นที่รักยิ่ง
กว่าตน ย่อมไม่มีแก่หม่อมฉันแล ก็คนอื่นใครๆ ซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตนย่อมมีอยู่แก่พระองค์
หรือไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้นพระนางมัลลิกาทูลสนองอย่างนี้แล้วหม่อมฉันได้พูดกับ
พระนางมัลลิการาชเทวีว่า แน่ะมัลลิกา คนอื่นใครๆ ซึ่งเป็น ที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมไม่มีแม้แ
ก่ฉันแล ฯ
[๓๔๘] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงได้ ตรัสพระคาถานี้
ในเวลานั้นว่า
บุคคลค้นหาด้วยจิตตลอดทิศทั้งหมด ไม่ได้พบใครซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน
ในที่ไหนๆ เลย สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นก็รักตนมากเช่นนั้นเหมือนกัน
ฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น ฯ
ยัญญสูตรที่ ๙
[๓๔๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ตระเตรียมการบูชามหายัญ โคผู้ ๕๐๐
ตัว ลูกโคผู้ ๕๐๐ ตัว ลูกโคตัวเมีย ๕๐๐ ตัว แพะ ๕๐๐ ตัว และ แกะ ๕๐๐ ตัว ถูกนำไปผูก
ไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ แม้ชนบางคนของพระเจ้า ปเสนทิโกศลนั้น เป็นทาส คนใช้หรือกรรมกร
ที่มีอยู่ แม้ชนเหล่านั้นถูกอาชญา ถูกภัยคุกคาม มีหน้านองด้วยน้ำตาร้องไห้พลาง กระทำ
บริกรรมไปพลาง ฯ
[๓๕๐] ครั้งนั้นแล พวกภิกษุหลายรูปครองผ้าเรียบร้อยแล้วในเวลาเช้า ถือบาตรและ
จีวรเข้าไปสู่กรุงสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลัง ภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ