พระสุตตันตปิฎกไทย: 25/97/100 101
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ลงๆ เราดื่มน้ำที่ไม่ขุ่น และเมื่อเราลงและขึ้นจากน้ำ ช้างพังทั้งหลายก็ไม่เดินเสียดสีกายไป
เราไม่เกลื่อนกล่นอยู่เป็นสุขสำราญ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความสงัดกายของพระองค์ และทรงทราบความ
ปริวิตกแห่งใจของพระยาช้างนั้น ด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
จิตของพระยาช้างผู้มีงาเช่นกับงอนรถนี้ ย่อมสมกับจิตที่ประเสริฐของพระ
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ทรงยินดีอยู่ในป่า ฯ
จบสูตรที่ ๕
๖. ปิณโฑลภารทวาชสูตร
[๑๐๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนา
น้อย สันโดษ ชอบสงัดไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร ผู้มีวาทะกำจัด หมั่นประกอบ
ในอธิจิตนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็น
ท่านพระปิณโฑลภารัทวาชะ ผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ... อยู่ในที่ไม่ไกล ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
การไม่ว่าร้ายกัน ๑ การไม่เบียดเบียนกัน ๑ การสำรวมในพระปาติ
โมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในภัต ๑ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การ
ประกอบความเพียรในอธิจิต ๑นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๖
๗. สาริปุตตสูตร
[๑๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้