[ในสูตรนี้ ใช้คำว่า “ยึดมั่นอยู่” (อุปาทิยมาน) สำหรับการติดบ่วง ; ในสูตรอื่น ใช้คำว่า “สำคัญมั่นหมายอยู่” (มญฺฌมาน) ก็มี, ใช้คำว่า “หลงเพลิดเพลินอยู่” (อภินนฺทมาน) ก็มี; ซึ่งเป็นคำที่ใช้แทนกันได้. (๑๗/๙๒, ๙๓/๑๔๐, ๑๔๑)].
ความสะดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน
ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ความสะดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน....แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลาย จงฟังข้อนั้น กระทำไว้ในใจให้สำเร็จประโยชน เราจักกล่าวบัดนี้.
ภิกษุ ท. ! ความสะดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในโลกนี้ บุถุชนผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ถูกแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า, ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ถูกแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ, เขาย่อม ตามเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งรูป โดยความเป็นตน บ้าง, ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งตน ว่ามีรูป บ้าง, ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งรูป ว่ามีอยู่ในตนบ้าง, ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งตน ว่ามีอยู่ในรูป บ้าง ; แต่รูปนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นโดยประการอื่น แก่เขา, วิญญาณของเขาก็เป็นวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของรูป เพราะความแปรปรวนของรูปได้มีโดยประการอื่น ; (เมื่อเป็นเช่นนั้น) ความเกิดขึ้นแห่งธรรมเป็นเครื่องสะดุ้งหวาดเสียว อันเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของรูปย่อมครอบงำจิตของเขาตั้งอยู่ ; เพราะความที่จิตถูกครอบงำด้วยธรรมเป็นเครื่องสะดุ้งหวาดเสียว เขาก็เป็นผู้หวาดสะดุ้ง คับแค้น พะว้าพะวัง และสะดุ้งหวาดเสียวอยู่ด้วยอุปาทาน.
(ในกรณีที่เกี่ยวกับการตามเห็น เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งรูป).
ภิกษุ ท. ! ความสะดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.