(เมื่ออ่านข้อความตอนนี้ ผู้ศึกษาพึงระลึกถึงคำที่ตรัสว่า “ความมีมิตรดีเป็นทั้งหมดแห่งพรหมจรรย์” อันเป็นข้อความที่ผ่านสายตากันบ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยจะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร). สมาธิที่มีผลเป็นความไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย
พระอานนท์ ได้ทูลถามว่า “ มีอยู่หรือหนอ พระเจ้าข้า ! การที่ภิกษุได้สมาธิชนิดที่มีผลคือ ไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย ในกายอันมีวิญญาณนี้ด้วย, ไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย ในนิมิตทั้งปวงในภายนอกด้วย, และเธอนั้นเข้าถึงแล้วแลอยู่ ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอัน ไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย ด้วย, พระเจ้าข้า !”
๑. คำว่า ๕ ประการ ในที่นี้ นับรวมทั้งความมีมิตรดี พวกพ้องดี เข้าด้วยอีกประการหนึ่ง ; ดูข้อความอันชัดเจนที่หัวข้อ ว่า “ วิธีบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด” ที่หน้า ๘๐๔ แห่งหนังสือนี้.
อานนท์ ! สมาธิที่ภิกษุได้แล้วมีผลเป็นอย่างนั้น มีอยู่.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สมาธิที่ภิกษุได้แล้วมีผลเป็นอย่างนั้น มีอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”
อานนท์ ! ความเพ่งเฉพาะของภิกษุในกรณีนี้ มีอยู่อย่างนี้ว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน (เย็น)” ดังนี้.
อานนท์ ! อย่างนี้แล การที่ภิกษุได้สมาธิชนิดที่มีผล คือ ไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย ในกายอันมีวิญญาณนี้ ด้วย, ไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย ในนิมิตทั้งปวงในภายนอกด้วย, และเธอนั้นเข้าถึงแล้วแลอยู่ ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย ด้วย.
อานนท์ ! ข้อนี้เรากล่าวอาศัยคำกล่าว ในการตอบปัญหาแก่ปุณณกมาณพ ในปารายนสมาคม ว่า :
“ท่านผู้ใด พิจารณาเห็นแล้ว ซึ่งสภาพยิ่งและหย่อนในโลก (ว่าเป็นของว่างเสมอกัน) ไม่มีความหวั่นไหวไปในอารมณ์ไหน ๆ ในโลกเลย, เป็นผู้รำงับสงบแล้ว ไม่มีกิเลสฟุ้งกลุ้มเหมือนควัน ไม่มีความทุกข์ความคับแค้นแล้ว เป็นผู้ไม่หวังอะไรแล้ว, เราตถาคตกล่าวผู้นั้น ว่าเป็นผู้ข้ามเสียได้ซึ่งความเกิดและความแก่” ดังนี้แล.
(ข้อความแห่งคาถาข้างบนนี้ คือความหมายแห่งคำว่า “ไม่มีอหังการะมมังการะมานานุสัย).