(โดยพระบาลี ทำให้เกิดความเข้าใจว่า พวกที่ทรุดลงอยู่ตรงนั้น คือพวก สัสตทิฏฐิ พวกที่แล่นเตลิดเลยไปนั้น คือพวก อุจเฉททิฏฐิ ส่วนพวกที่เห็นตามที่เป็นจริง คือพวก สัมมาทิฏฐิ, ต่างกันอยู่ดังนี้เป็นสามพวก ทั้งที่มีมูลมาจากเหตุอย่างเดียวกัน คือมีทิฏฐิสองอย่างห่อหุ้มแล้วด้วยกัน).
คนรวยก็มีธรรมะได้
(จิตนิยมและวัตถุนิยมก็อยู่ด้วยกันได้)
ภิกษุ ท. ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ ๑๐ อย่าง ชื่อว่าย่อมเจริญด้วย ความเจริญของพระอริยเจ้า ด้วย และเป็นผู้ ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกาย (วัตถุ) ได้ด้วย. สิบอย่าง อย่างไรเล่า ? สิบอย่างคือ :
ย่อมเจริญด้วยนาและสวน, ย่อมเจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก, ย่อมเจริญด้วยบุตรและภรรยา, ย่อมเจริญด้วยทาสและกรรมกรที่เต็มขนาดแห่งบุรุษ, ย่อมเจริญด้วยสัตว์สี่เท้า, ย่อมเจริญด้วยสัทธา, ย่อมเจริญด้วยศีล, ย่อมเจริญด้วยสุตะ, ย่อมเจริญด้วยจาคะ, ย่อมเจริญด้วยปัญญา.
ภิกษุ ท. ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ ๑๐ อย่างเหล่านี้แล ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยความเจริญของพระอริยเจ้าด้วย และเป็นผู้ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกายได้ด้วย.
(คาถาผนวกท้ายพระสูตร)
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตร ภรรยา และสัตว์สี่เท้า, บุคคลนั้น ย่อมเป็นผู้มีโชค มียศ เป็นที่บูชาของญาติมิตรและแม้ของพระราชา.
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยสัทธา ศีล ปัญญา จาคะ สุตะ อันเป็นความเจริญทั้งสองฝ่าย, บุคคลเช่นนั้น เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาเห็นโดยประจักษ์ ย่อม เจริญด้วยความเจริญทั้งสองฝ่าย ในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล.