พุทธธัมมเจดีย์อริยสัจจากพระโอษฐ์

พิมพ์คำค้นหาแล้วกดส่ง

อริยสัจจากพระโอษฐ์ > ภาค ๔ > นิทเทศ 20 ว่าด้วย สัมมาสติ > ง. การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการอารักขาทั้งตนเองและผู้อื่น
«
»

หน้า:

ง. การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการอารักขาทั้งตนเองและผู้อื่น

ปรับขนาด: 16px

-(ภิกษุผู้มีสติปัฏฐานทั้งสี่อยู่ ย่อมไม่มีความรู้สึกว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา; ดังนั้น จึงไม่มีทางที่จะเกิดความเห็นว่า อัตตาและโลกเป็นของเที่ยง ดังนี้เป็นต้น ซึ่งทำให้เกิดทิฏฐิว่าอัตตามีในภพก่อน อัตตามีในภพหลั).

ง การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการอารักขาทั้งตนเองและผู้อื่น

ภิกษุ ท. ! เรื่องเคยมีมาแล้วในกาลก่อน : บุรุษจัณฑาลวังสิกะ๑ ยกไม้จัณฑาลวังสะตั้งขึ้นแล้ว ร้องสั่งผู้ช่วยซึ่งทำหน้าที่ถือถาดน้ำมันของเขา ด้วยคำว่า “เพื่อนถาดน้ำมัน ! จงมา, จงขึ้นไปสู่ไม้จัณฑาลวังสะ แล้วทรงตัวอยู่ในเบื้องบนแห่งลำตัวของเรา” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! บุรุษเมทกถาลิกะผู้ช่วยของเขารับคำว่า “ขอรับอาจารย์” แล้วขึ้นไปสู่ไม้จัณฑาลวังสะ ดำรงตัวอยู่เบื้องบนแห่งลำตัวของอาจารย์.

ภิกษุ ท. ! ลำดับนั้น จัณฑาลวังสิกบุรุษผู้เป็นอาจารย์ ได้กล่าวแก่เมทกถาลิกบุรุษซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขาว่า “สหาย เมทกถาลิกะเอ๋ย ! ท่านจงรักษาซึ่งเรา เราก็จักรักษาซึ่งท่าน; เราคุ้มครองรักษาซึ่งกันและกันอยู่อย่างนี้ จักได้แสดงซึ่งศิลปะด้วย จักได้ลาภด้วยและจักลงจากไม้จัณฑาลวังสะได้โดยสวัสดีด้วย”.

๑. นักแสดงกายกรรมด้วยการยกไม้ไผ่ชูตั้งขึ้น โคนไม้จดศีรษะหรืออกตามที่ตนต้องการแสดง แล้วมีบุรุษถือถาดน้ำมันไปทรงตัวอยู่บนปลายไม้; เป็นศิลปะหาเลี้ยงชีพของคนนอกวรรณะหรือวรรณะต่ำ ซึ่งเรียกกันว่าพวกจัณฑาล.

ภิกษุ ท. ! เมทกถาลิกบุรุษซึ่งเป็นผู้ช่วยได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวกะจัณฑาลวังสิกบุรุษผู้เป็นหัวหน้าของเขาว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ดอก ท่านอาจารย์ ! ท่านอาจารย์จงรักษาตัวเอง ผมก็จักรักษาตัวผม; เมื่อเราต่างฝ่ายต่างคุ้มครองรักษาตนของตนอยู่อย่างนี้ จึงจักแสดงศิลปะได้ด้วย จักได้ลาภด้วย จักลงจากไม้จัณฑาลวังสะได้โดยสวัสดีด้วย”.

นี่คือ เคล็ดอันเป็นใจความสำคัญของเรื่องที่เราจักต้องเข้าใจ คือพระผู้มีพระภาคได้กล่าวเช่นเดียวกับที่เมทกถาลิกบุรุษซึ่งเป็นผู้ช่วยได้กล่าวกะอาจารย์ของเขา; คือได้ตรัสว่า :

ภิกษุ ท. ! เธอพึงเจริญสติปัฏฐานด้วยคิดว่า ‘เราจักรักษาซึ่งตน’; เธอพึงเจริญสติปัฏฐานด้วยคิดว่า ‘เราจักรักษาซึ่งผู้อื่น’. ภิกษุ ท. ! เมื่อรักษาตน ก็คือรักษาผู้อื่น : เมื่อรักษาผู้อื่นก็คือรักษาตน๑ .

ภิกษุ ท. ! เมื่อรักษาตนก็คือรักษาผู้อื่น นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? ข้อนี้หมายความว่า รักษาตนด้วยการเสพธรรมะ ด้วยการเจริญธรรมะ ด้วยการทำให้มากซึ่งธรรมะ. นี้แหละคือ เมื่อรักษาตนอยู่ จะมีผลเป็นการรักษาผู้อื่น.

ภิกษุ ท. ! เมื่อรักษาผู้อื่นก็คือรักษาตน นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? ข้อนี้หมายความว่า รักษาผู้อื่นด้วยการอดทน ด้วยการไม่เบียดเบียน ด้วยเมตตาจิต ด้วยความรักใคร่เอ็นดู. นี้แหละคือ เมื่อรักษาผู้อื่นอยู่ จะมีผลเป็นการรักษาตนด้วย.

ภิกษุ ท. ! เมื่อคิดว่าเราจักรักษาตน ก็จงเจริญสติปัฏฐานเถิด, เมื่อคิดว่าเราจักรักษาผู้อื่น ก็จงเจริญสติปัฏฐานเถิด; เพราะว่าเมื่อเจริญสติปัฏฐาน

๑. คำนี้หมายความว่า เมื่อเจริญสติปัฏฐานเพื่อประโยชน์แก่ตน ก็จักมีประโยชน์ถึงผู้อื่นเนื่องกันไปในตัวด้วย เหมือนกับที่บุรุษผู้รักษาโคนไม้กับบุรุษผู้อยู่ปลายไม้ ต่างฝ่ายต่างมุ่งรักษาตนดีแล้วก็จะเป็นการรักษาซึ่งกันและกันให้ไม่พลาดพลั้งลงไป, ฉันใดก็ฉันนั้น.

เพื่อรักษาตน ก็เป็นการรักษาผู้อื่น : เมื่อเจริญสติปัฏฐานเพื่อรักษาผู้อื่นก็เป็นการรักษาตนด้วย; อย่างนี้แล. (ข้อนี้หมายความว่า การทำให้เกิดสติปัฏฐานชื่อว่ารักษาตน. ในสติปัฏฐานนั้นมีการระลึกด้วยพรหมวิหาร จึงถือว่ามีการรักษาผู้อื่นด้วย).

มหาวาร.สํ. ๑๙/๒๒๔ - ๒๒๕/๗๕๘ - ๗๖๒.

หมวด ฉ. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาสติ

จิตที่ปราศจากสติ ย่อมปรารถนาลาภได้ทั้งที่ชอบอยู่ป่า

ภิกษุ ท. ! บุคคล ๘ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. แปด จำพวก อย่างไรเล่า? แปดจำพวก คือ :

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ เมื่อภิกษุอยู่อย่างผู้สงัด แต่ไม่ประพฤติสำรวมอย่างติดต่อ ความปรารถนาลาภก็เกิดขึ้น เธอหมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ ลาภก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้ลาภ เธอก็เศร้าโศก ลำบากใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ หลงใหล. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า ภิกษุผู้ปรารถนาลาภ หมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ ไม่ได้ลาภ เศร้าโศก คร่ำครวญ และเคลื่อนจากสัทธรรม.

ภิกษุ ท. ! อนึ่ง เมื่อภิกษุอยู่อย่างผู้สงัด แต่ไม่ประพฤติสำรวมอย่างติดต่อ ความปรารถนาลาภก็เกิดขึ้น เธอหมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ ลาภก็เกิดขึ้น เพราะได้ลาภ เธอก็มัวเมา ประมาท ถึงความประมาทเต็มที่. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า ภิกษุผู้ปรารถนาลาภ หมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ ได้ลาภ มัวเมา ประมาท และเคลื่อนจากสัทธรรม (ด้วยเหมือนกัน).

ภิกษุ ท. ! อนึ่ง เมื่อภิกษุอยู่อย่างผู้สงัด แต่ไม่ประพฤติสำรวมอย่างติดต่อ ความปรารถนาลาภก็เกิดขึ้น เธอไม่หมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ ลาภไม่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้ลาภ เธอก็เศร้าโศก ลำบากใจ คร่ำครวญ ตีอก ร่ำไห้ หลงใหล. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า ภิกษุผู้ปรารถนาลาภ ไม่หมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ ไม่ได้ลาภ เศร้าโศก คร่ำครวญ และเคลื่อนจากสัทธรรม (ด้วยเหมือนกัน).

ภิกษุ ท. ! อนึ่ง เมื่อภิกษุอยู่อย่างผู้สงัด แต่ไม่ประพฤติสำรวมอย่างติดต่อ ความปรารถนาลาภก็เกิดขึ้น เธอไม่หมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ แต่ลาภก็เกิดขึ้น เพราะได้ลาภ เธอก็มัวเมา ประมาท ถึงความประมาทเต็มที่. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า ภิกษุผู้ปรารถนาลาภ ไม่หมั่นเพียรพยายามเพื่อลาภอยู่ แต่มีลาภ มัวเมา ประมาท และเคลื่อนจากสัทธรรม (ด้วยเหมือนกัน).

(ต่อไปได้ตรัสถึง ภิกษุ ๔ จำพวก โดยปฏิปักขนัย เป็นผู้อยู่ในที่สงัด ปรารถนาลาภ ได้ลาภหรือไม่ได้ลาภ ก็ไม่ประมาทมัวเมา หรือไม่โศกเศร้าคร่ำครวญเป็นทุกข์ และไม่เคลื่อนจากสัทธรรม ทั้ง ๔ จำพวก).

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล บุคคล ๘ จำพวก ที่มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก (แม้อยู่ในที่สงัดก็ยังปรารถนาลาภ).


อ้างอิง
ไทย: - อฏฺฐก.อํ. 23/302 - 304/151.
บาลี: - อฏฺฐก.อํ. ๒๓/๓๐๒ - ๓๐๔/๑๕๑.

AI ช่วยอ่าน

กรุณาคัดลอกและวางพระสูตรในช่องนี้เพื่อฟังเสียง

×

สารบัญหนังสือ