(สูตรข้างบนนี้แสดงวัตถุแห่งการรู้ด้วยอุปาทานขันธ์ในสูตรอื่นแสดงด้วยอินทรีย์ห้าคือ สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเปกขินทรีย์. - ๑๙/๒๗๕ -๒๗๖/๙๑๙-๙๒๑.) ผู้ละราคะ-โทสะ-โมหะ ระดับโสดาบัน
ภิกษุ ท. ! ภิกษุไม่ละธรรม ๖ อย่างแล้ว เป็นผู้ไม่ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา (ความเป็นโสดาบัน). ไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหล่าไหนเล่า ? ไม่ละธรรมหกอย่างเหล่านี้ คือ :
ไม่ละ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่ากายของตน) ;
ไม่ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข์) ;
ไม่ละ สีลัพพตปรามาส (การถือเอาศีลและพรตผิดความมุ่งหมายที่แท้จริง) ;
ไม่ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย) ;
ไม่ละ อปายคมนิยโทสะ (โทสะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย) ;
ไม่ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย) .
ภิกษุ ท. ! ภิกษุไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้แล เป็นผู้ไม่ควรกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุละธรรม ๖ อย่าง แล้ว เป็นผู้ควรกระทำให้แจ้ง ซึ่งทิฏฐิสัมปทา. ละธรรม ๖ อย่างเหล่าไหนเล่า ? ละธรรมหกอย่างเหล่านี้
คือ:-ละ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่ากายของตน) ;
ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข์) ;
ละ สีลัพพตปรามาส (การถือเอาศีลและพรตผิดความมุ่งหมายที่แท้จริง) ;
ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะที่ควรแก่การซึ่งอบาย) ;
ละ อปายคมนิยโทสะ (โทสะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย) ;
ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย) .
ภิกษุ ท. ! ภิกษุละธรรม ๖ อย่างเหล่านี้แล้ว เป็นผู้ควรกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา, ดังนี้แล.