หมวด ค. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาวาจา
ตัวอย่างแห่งสัมผัปปลาวาทระดับครูบาอาจารย์
ตัวอย่างประการที่ ๑
“พระโคดมผู้เจริญ ! ในเรื่องทางหรือมิใช่ทางนั้น แม้พราหมณ์ทั้งหลาย จะบัญญัติไว้ต่างๆ กัน คือพวกอัทธริยพราหมณ์ก็บัญญัติ พวกติตติริยพราหมณ์ก็บัญญัติ พวกฉันโทกพราหมณ์ก็บัญญัติ พวกพัวหริธาพราหมณ์ก็บัญญัติ แต่ทางทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่เป็นทางนำออก สามารถนำผู้ปฏิบัติตามทางนั้นไปสู่ความเป็นสหายแห่งพรหมได้ เปรียบเสมือนทางต่างๆ มีเป็นอันมากใกล้บ้านใกล้เมือง ก็ล้วนแต่ไปประชุมกันที่บ้านแห่งหนึ่งทุกๆ ทางฉันใดก็ฉันนั้น”.
วาเสฏฐะ ! ในบรรดาพราหมณ์ไตรเพททั้งหลายเหล่านั้น มี พราหมณ์สักคนหนึ่งไหม ที่ได้เห็นพรหมโดยประจักษ์ ?
“ข้อนั้น หามีไม่ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! ถ้าอย่างนั้น มีอาจารย์สักคนหนึ่งไหม ของพราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ที่ได้เห็นพรหมโดยประจักษ์ ?
“ข้อนั้น หามีไม่ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! ถ้าอย่างนั้น มีประธานอาจารย์แห่งอาจารย์สักคนหนึ่ง ของพราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้นไหม ที่ได้เห็นพรหมโดยประจักษ์ ?
“ข้อนั้น หามีไม่ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! มีอาจารย์ที่สืบกันมาถึงเจ็ดชั่ว ของพราหมณ์ไตรเพท เหล่านั้น สักคนหนึ่งไหม ที่ได้เห็นพรหมโดยประจักษ์ ?
“ข้อนั้น หามีไม่ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! ในบรรดาฤษีเก่าแก่ทั้งหลาย คือ ฤษีอัฏฐกะ ฤษีวามกะ ฤษีวามเทวะ ฤษีเวสสามิตตะ ฤษียมตัคคี ฤษีอังคีรสะ ฤษีภารท๎วาชะ ฤษีวาเสฏฐะ ฤษีกัสสปะ ฤษีภคุ ผู้ได้ประกอบมนต์ขึ้น บอกกล่าวแก่พราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ให้ขับตาม ให้กล่าวตาม ให้สวดตาม ให้บอกตาม กันสืบๆ มาจนกระทั่งกาลนี้ เหล่านั้น มีฤษีสักตนหนึ่งไหมในบรรดาฤษีเหล่านั้น ที่กล่าวยืนยันอยู่ว่า เรารู้เราเห็น ว่าพรหมอยู่ที่ไหน ด้วยอาการอย่างไร ณ ที่ใด ดังนี้ ?
“ข้อนั้น หามีไม่ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! เมื่อไม่มีพราหมณ์ อาจารย์ของพราหมณ์ หรือฤษีผู้บอกมนต์แก่พราหมณ์ แม้สักคนหนึ่งที่เคยเห็นพรหมโดยประจักษ์ แล้วมาแสดงหนทางไปสู่ความเป็นสหายแห่งพรหม อยู่ดังนี้ ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : คำกล่าวของพราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ย่อมถึงความเป็นคำกล่าวที่ไม่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์๑ (อปฺปาฏิหิริกตํ) มิใช่หรือ ?
๑. ไม่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ คือไม่มีเหตุผลที่แสดงให้ผู้ฟังเห็นได้ว่าเป็นจริงตามที่เขากล่าว จนกระทั่งยอมเชื่อ.
“แน่แล้ว พระโคดม ! เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของพราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ย่อมถึงความเป็นคำกล่าวที่ไม่ประกอบด้วยปาฎิหาริย์”
ถูกแล้ว, วาเสฏฐะ ! ข้อที่พราหมณ์ทั้งหลายผู้ไม่รู้ไม่เห็นพรหมจะมากล่าวแสดงหนทางไปสู่ความเป็นสหายกับพรหม ดังนี้นั้น นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือนแถวคนตาบอดเกาะหลังกัน คนต้นแถวก็ไม่เห็นอะไร คนกลางแถวก็ไม่เห็นอะไร คนปลายแถวก็ไม่เห็นอะไร นี้ฉันใด; วาเสฏฐะ ! คำกล่าวของพราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ก็มีอุปมาเหมือนแถวแห่งคนตาบอด ฉันนั้นแหละ คือผู้กล่าวพวกแรกก็ไม่เห็นพรหม ผู้กล่าวพวกต่อมาก็ไม่เห็นพรหม ผู้กล่าวพวกสุดท้ายก็ไม่เห็นพรหม; ดังนั้นคำกล่าวของพวกเขาก็ถึงซึ่งความเป็นคำกล่าวที่น่าหัว (หสฺสก) คำกล่าวที่ต่ำต้อย (นามก) คำกล่าว เปล่าๆปลี้ๆ (ริตฺตก) คำกล่าวเหลวไหล (ตุจฺฉก).
(นี้เป็นตัวอย่างแห่งสัมผัปปลาปวาทระดับสูงชนิดที่หนึ่ง)
ตัวอย่างประการที่ ๒
วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : พราหมณ์ไตรเพททั้งหลาย ก็มองเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อยู่ ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็มองเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อยู่, ว่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากทิศไหนตกลงไปทางทิศไหน พากันอ้อนวอนอยู่ ชมเชยอยู่ ประนมมือนมัสการเดินเวียนรอบๆ อยู่ ด้วยกันทั้งสองพวก มิใช่หรือ ?
“อย่างนี้แหละ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : เมื่อพวกพราหมณ์ ไตรเพทก็เห็น พวกชนเหล่าอื่นเป็นอันมากก็เห็น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ด้วย
กันทั้งสองพวก อยู่ดังนี้ พวกพราหมณ์ไตรเพทสามารถแสดงหนทางไปสู่ความเป็น อันเดียวกันกับดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อยู่หรือ ?
“ข้อนั้น หามิได้ พระโคดม !”
วาเสฏฐะ ! ก็เมื่อพวกพราหมณ์ไตรเพท และชนเป็นอันมากเห็น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อยู่ โดยประจักษ์ ก็ยังไม่สามารถแสดงทางไปสู่ความเป็นอันเดียวกันกับดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อยู่ ดังนี้แล้ว พวกพราหมณ์ พวกอาจารย์ของพราหมณ์ และพวกฤาษีผู้บอกมนต์แก่พราหมณ์ ซึ่งล้วนแต่ไม่เคยเห็นพรหมโดยประจักษ์เลย แล้วจะมาแสดงหนทางไปสู่ความเป็นสหายกับพรหมดังนี้นั้นท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : คำกล่าวของพราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ย่อมถึงความเป็นคำกล่าวที่ไม่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ ?
“แน่แล้ว, พระโคดม ! เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของพราหมณ์ไตรเพทเหล่านั้น ย่อมถึงความ เป็นคำกล่าวที่ไม่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์”
ถูกแล้ว, วาเสฏฐะ ! ข้อที่พราหมณ์ทั้งหลายผู้ไม่รู้ไม่เห็นพรหม จะมากล่าวแสดงหนทางไปสู่ความเป็นสหายกับพรหม ดังนี้นั้น นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ตัวอย่างประการที่ ๓
วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือน มีบุรุษกล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาใคร่จะได้นางชนบทกัลยาณีในชนบทนี้” ดังนี้. คนทั้งหลายถามเขาว่า ‘บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้จักนางชนบทกัลยาณีที่ท่านปรารถนานั้นไหม ว่าเป็นนางกษัตริย์หรือนางพราหมณี หรือเป็นนางในวรรณะแพศย์ หรือนางในวรรณะศูทร ?’ เขาตอบว่า ‘ไม่รู้จัก’. คน
เหล่านั้นถามอีกว่า ‘นางชนบทกัลยาณีที่ท่านประสงค์จะได้นั้น มีชื่ออะไร มีโคตรอะไร สูงหรือต่ำ หรือปูนกลาง ผิวดำ หรือผิวคล้ำ หรือผิวสีทอง อยู่ในหมู่บ้านโน้น อยู่ในนิคมหรือในนครเล่า ?’ เขาตอบว่า ‘ไม่ทราบเลย ท่าน !’ คนเหล่านั้นถามอีกว่า ‘บุรุษผู้เจริญ ! ท่านปรารถนาใคร่จะได้ผู้ที่ท่านไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น กระนั้นหรือ ? ’ เขาตอบว่า ‘ถูกแล้ว ท่าน ! ’ วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : คำกล่าวของบุรุษนี้ ย่อมถึงความเป็นคำ กล่าวที่ไม่ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ ?
“แน่แล้ว, พระโคดม !”
ตัวอย่างประการที่ ๔
วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือน บุรุษทำบันไดสำหรับจะพาดขึ้นสู่ปราสาท นำมาที่ถนนใหญ่สี่แพร่ง. คนทั้งหลายถามเขาว่า ‘บุรุษผู้เจริญ ! ท่านทำบันไดมาเพื่อจะพาดขึ้นสู่ปราสาท ท่านรู้จักปราสาทนั้นไหม ว่าอยู่ทิศตะวันออกหรือทิศใต้ ทางทิศตะวันตกหรือทิศเหนือ สูงหรือต่ำ หรือขนาดกลาง ?’ บุรุษนั้นตอบว่า ‘ ไม่รู้จักเลย ท่าน !’ คนเหล่านั้นถามต่อไปว่า ‘บุรุษผู้เจริญ ! ท่านทำบันไดมาเพื่อจะพาดขึ้นสู่ปราสาทที่ท่านไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น กระนั้นหรือ ?’ เขาตอบว่า ‘ถูกแล้ว ท่าน !’ วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : คำกล่าวของบุรุษนี้ ย่อมถึงความเป็นคำกล่าวที่ไม่ประกอบด้วยปฏิหาริย์ มิใช่หรือ ?
“แน่แล้ว, พระโคดม ! ”
ตัวอย่างประการที่ ๕
วาเสฏฐะ ! เปรียบเหมือน แม่น้ำอจิรวดี นี้ มีน้ำเต็มเปี่ยม กายืนดื่มได้. ครั้งนั้น มีบุรุษคนหนึ่งมาถึงเข้า เขามีประโยชน์ที่ฝั่งโน้น แสวงหาฝั่งโน้น มีการไปสู่ฝั่งโน้น ประสงค์จะข้ามไปฝั่งโน้น เขายืนอยู่ที่ฝั่งนี้ร้องเรียก
ฝั่งโน้น ว่า ‘ฝั่งโน้นจงมา ฝั่งโน้นจงมา’ ดังนี้. วาเสฏฐะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำอจิรวดี จะมาสู่ฝั่งนี้ เพราะเหตุแห่งการร้องเรียก เพราะเหตุแห่งการขอ เพราะเหตุแห่งความปรารถนา หรือเพราะเหตุแห่งความพอใจ ของบุรุษนั้น ได้หรือหนอ ? “พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย”.