พระพุทธองค์ กับ จตุราริยสัจ
พระพุทธเป็นดุจดั่งผู้ชี้ทาง พระธรรมซึ่งมีอริยสัจเป็นแก่นเป็นตัวทาง พระอริยสงฆ์สาวก คือผู้ที่ได้เดินไปตามทางแล้ว แต่สัตว์โลกผู้ยังถูกอวิชชากดให้จมติดอยู่ในเปือกตมแห่งโอฆะ กำลังต้องการทางนั้นอยู่, เมื่อใดเขาศึกษาจนรู้จักพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้งถึงที่สุด ดุจลูกที่เข้าใจบิดาดี เมื่อนั้นเขาจะพบทางนั้นด้วย และเดินตามรอยท่านผู้ประเสริฐ ที่เดินไปแล้วนั้นได้. ถ้าเข้าใจไม่ตรงพอ เช่นเห็นพระพุทธองค์เป็นพระเป็นเจ้าไป ก็จะมีความมุ่งหมายและการตั้งหน้าทำที่พลาด ในที่สุดก็ปราศจากผล เพราะความจริงพระองค์เป็นแต่ผู้ชี้ทาง เท่านั้น.
พระพุทธองค์ คือผู้ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ว่ายล่องกระแสแม่น้ำลงไปเพราะเหตุสิ่งที่น่ารักน่าเพลินใจ. บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนฝั่ง เห็นบุรุษผู้นั้นแล้วร้องบอกว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านย่อมว่ายล่องตามกระแสแม่น้ำ เพราะเหตุสิ่งที่น่ารักน่าเพลินใจโดยแท้ แต่ว่า ทางเบื้องล่าง มีห้วงน้ำ ประกอบด้วยคลื่น ประกอบด้วยน้ำวน มียักษ์มีรากษส ซึ่งเมื่อท่านไปถึงแล้ว จักต้องตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย.” ภิกษุ ท. !บุรุษผู้ว่ายล่องตามกระแสนั้น ครั้นได้ฟังแล้ว ก็พยายามว่ายกลับทวนกระแสทั้งด้วยมือและด้วยเท้าทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! คำอุปมานี้ เราผูกขึ้น เพื่อให้รู้เนื้อความ. นี้เป็นเนื้อความ คือ คำว่า ‘กระแสแม่น้ำ’ เป็นชื่อแห่งตัณหา, คำว่า ‘สิ่งน่ารักน่าเพลินใจ’ เป็นชื่อแห่งอายตนะหกในภายใน, คำว่า ‘ทางเบื้องล่าง มีห้วงน้ำ’ เป็นชื่อแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า, คำว่า ‘คลื่น’ เป็นชื่อแห่งความโกรธและความคับแค้น, คำว่า ‘น้ำวน’ เป็นชื่อแห่งกามคุณห้า, คำว่า ‘ยักษ์และ
รากษส’ เป็นชื่อแห่งมาตุคาม.
คำว่า ‘ทวนกระแส’ เป็นชื่อแห่งเนกขัมมะ, คำว่า ‘พยายามด้วยมือและเท้า’ เป็นชื่อแห่งการปรารถความเพียร, คำว่า ‘บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนฝั่ง’ เป็นชื่อแห่งตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ; ดังนี้.