ปธานสี่ ในฐานะสัมมัปปธาน
ภิกษุ ท. ! ปธาน ๔ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน.
ภิกษุ ท. ! สังวรปธาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุใน กรณีนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการรวบถือเอาทั้งหมด (รวมเป็นภาพเดียว) ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการถือเอาโดยแยกเป็น
ส่วนๆ; อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ซึ่งอินทรีย์อันเป็นต้นเหตุคือตา ใด, เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมซึ่งอินทรีย์นั้น, ย่อมรักษาอินทรีย์คือตา ย่อมถึงการสำรวมในอินทรีย์คือตา (ในกรณีแห่งอินทรีย์คือ หู อินทรีย์คือ จมูก อินทรีย์คือ ลิ้น อินทรีย์คือ กาย และอินทรีย์คือ ใจ ก็มีข้อความที่ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน). ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า สังวรปธาน.
ภิกษุ ท. ! ปหานปธาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ไม่รับเอาไว้ สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดเสีย ทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว.... ซึ่งพ๎ยาบาทวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว .... ซึ่งวิหิงสาวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว .... ซึ่งอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย ที่บังเกิดขึ้นแล้ว ๆ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ปหานปธาน.
ภิกษุ ท. ! ภาวนาปธาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเจริญซึ่ง สติสัมโพชฌงค์ .... ซึ่ง ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ .... ซึ่ง วิริยสัมโพชฌงค์ ..... ซึ่ง ปีติสัมโพชฌงค์ .... ซึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ .....ซึ่ง สมาธิสัมโพชฌงค์ .... ซึ่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อัน (แต่ละอย่างๆ) อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความปล่อยวาง. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ภาวนาปธาน.
ภิกษุ ท. ! อนุรักขนาปธาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมตามรักษาซึ่งสมาธินิมิตอันเจริญ ที่เกิดขึ้นแล้ว (คือรักษาความสำคัญรู้ในภาวะของซากศพต่างๆกัน ๖ ชนิด) คือ อัฏฐิกสัญญา ปุฬวกสัญญา วินีลกสัญญา
วิปุพพกสัญญา วิจฉิททกสัญญา อุทธุมาตกสัญญา๑. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อนุรักขนาปธาน.
ภิกษุ ท. ! ปธาน ๔ อย่าง เหล่านี้ แล.