พุทธธัมมเจดีย์อริยสัจจากพระโอษฐ์

พิมพ์คำค้นหาแล้วกดส่ง

อริยสัจจากพระโอษฐ์ > ภาค ๔ > นิทเทศ 18 ว่าด้วย สัมมาอาชีวะ > การดำรงชีพชอบ คือการลงทุนเพื่อนิพพาน
«
»

หน้า:

การดำรงชีพชอบ คือการลงทุนเพื่อนิพพาน

ปรับขนาด: 16px

-การดำรงชีพชอบ คือการลงทุนเพื่อนิพพาน

(พระผู้มีพระภาคเสร็จการบิณฑบาตในย่านตลาดแห่งอังคุตตราปนิคม แล้วเสด็จเข้าไปประทับเพื่อทิวาวิหาร ในพนาสณฑ์ใกล้นิคมนั้น ประทับนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง. คฤหบดีคนหนึ่งชื่อโปตลิยะผู้อาศัยอยู่ในนิคมนั้น ซึ่งได้จัดตัวเองไว้ในฐานะเป็นผู้สำเร็จกิจแห่งชีวิต พ้นจากข้อผูกพันของฆราวาส ยกทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานหมดแล้ว ดำรงชีวิตอย่างคนหลุดพ้น ตามที่เขาสมมติกัน นุ่งห่มอย่างคนที่ถือกันว่าหลุดพ้นแล้ว มีร่ม มีรองเท้า เดินเที่ยวหาความพักผ่อนตามราวป่า ได้เข้าไปสู่พนาสณฑ์ที่พระองค์กำลังประทับอยู่ ทักทายให้เกิดความคุ้นเคยกันแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่โปตลิยคฤหบดีผู้ยืนอยู่อย่างนั้นว่า :-)

ท่านคฤหบดี ! ที่นั่งนี้ก็มีอยู่ เชิญท่านนั่งตามประสงค์.

(โปตลิยคฤหบดี โกรธ ไม่พอใจ ในข้อที่พระพุทธองค์ตรัสเรียกเขาว่าเป็นคฤหบดี ในเมื่อเขาจัดตัวเองว่าเป็นผู้พ้นจากความเป็นผู้ประกอบกิจอย่างฆราวาส ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งการดูหมิ่นเขาอย่างมาก เขาก็ยืนเฉยเสียไม่นั่งลง ; แม้พระผู้มีพระภาคจะตรัสเชื้อเชิญเขาเป็นครั้งที่สอง ด้วยถ้อยคำอย่างเดียวกัน เขาก็โกรธไม่พอใจ ยืนเฉยเสีย ไม่นั่งลง; ครั้นพระองค์ตรัสเชื้อเชิญเขาให้นั่งลงเป็นครั้งที่สาม ด้วยถ้อยคำอย่างเดียวกันอีก, เขาก็กล่าวตอบด้วยความโกรธไม่พอใจว่า :- )

“ท่านโคดมเอ๋ย ! นั่นไม่ถูก นั่นไม่สมควร ในการที่ท่านจะมาเรียกข้าพเจ้า ว่า คฤหบดี”.

ท่านคฤหบดีเอ๋ย ! ก็กิริยาอาการ ลักษณะ ท่าทางของท่าน แสดงว่าเป็น คฤหบดีนี่.

“ท่านโคดม ! การงานต่าง ๆ ข้าพเจ้าเลิกหมดแล้ว ; โวหาร (การลงทุนเพื่อผลกำไร) ต่างๆ ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว”.

ท่านคฤหบดี ! ท่านเลิกการงานต่างๆ ตัดขาดการลงทุนต่างๆ หมดสิ้น แล้วอย่างไรกันเล่า ?

“ท่านโคดม ! ในเรื่องนี้นะหรือ ; ทรัพย์ใด ๆ มีอยู่, ข้าวเปลือก เงินทองมีอยู่ ; ทั้งหมดนั้นข้าพเจ้าได้มอบให้บุตรทั้งหลายไปหมดสิ้นแล้ว. ข้าพเจ้าไม่สั่งสอนบ่นว่าใครอีกต่อไปในที่นั้น ๆ, ต้องการเพียงข้าวกินและเสื้อผ้าบ้างเป็นอย่างยิ่ง อยู่ดังนี้. ท่านโคดมเอ๋ย ! นี้แหละคือการงานต่างๆ ที่ข้าพเจ้าเลิกหมดแล้ว ; การลงทุนต่าง ๆ ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว”.

ท่านคฤหบดี ! การเลิกละโวหาร (การลงทุน) ตามที่ท่านกล่าวนั้นมัน เป็นอย่างหนึ่ง ; การเลิกละโวหาร (การลงทุน) ในอริยวินัยนั้น มันเป็นอย่างอื่น.

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ๑ การเลิกละโวหาร (การลงทุน) ในอริยวินัย นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรมเรื่องการเลิกละโวหาร (การลงทุน) ใน อริยวินัยเถิด”

คฤหบดี ! ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.

คฤหบดี ! ธรรมทั้งหลาย ๘ ประการ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อการตัดขาด ซึ่งโวหาร (การลงทุนเพื่อกำไรอย่างใดอย่างหนึ่ง) ในอริยวินัย. แปดประการอย่างไรเล่า ? แปดประการ คือ :

๑. พึงสังเกตว่า ต่อจากนี้ไป เขาเปลี่ยนคำพูดที่ไม่แสดงความเคารพ มาเป็นคำพูดแสดงความเคารพ คือแทนที่จะใช้คำว่า “พระโคดม ! ” ซึ่งไม่เป็นการแสดงความเคารพ ก็เปลี่ยนมาเป็นใช้คำว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า” หรือ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !” ดังนี้ ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพ.

๑. อาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณาติบาต ละเสียซึ่งกรรมอันเป็นปาณาติบาต

๒. อาศัยการถือเอาแต่สิ่งที่เขาให้ ละเสียซึ่งการถือเอาสิ่งซึ่งเขาไม่ได้ให้

๓. อาศัยวาจาสัจจ์ ละเสียซึ่งมุสาวาท

๔. อาศัยอปิสุณวาจา ละเสียซึ่งปิสุณวาจา

๕. อาศัยความไม่โลภด้วยความกำหนัด ละเสียซึ่งความโลภด้วยความกำหนัด

๖. อาศัยความไม่มีโทสะเพราะถูกนินทา ละเสียซึ่งโทสะเพราะถูกนินทา

๗. อาศัยความไม่คับแค้นเพราะความโกรธ ละเสียซึ่งความคับแค้นเพราะความโกรธ

๘. อาศัยความไม่ดูหมิ่นท่าน ละเสียซึ่งความดูหมิ่นท่าน.

คฤหบดี ! ธรรม ๘ ประการ เหล่านี้แล อันเรากล่าวแล้วโดยย่อไม่ได้จำแนกโดยพิสดาร แต่ก็เป็นไปเพื่อการตัดโวหาร (การลงทุนเพื่อกำไร) ในอริยวินัย.

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ธรรม ๘ ประการที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแต่โดยย่อ มิได้จำแนกแล้วโดยพิสดาร ก็ยังเป็นไปเพื่อการตัดขาดโวหาร (การลงทุนเพื่อกำไร) ในอริยวินัย นั้น, ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงจำแนกธรรม ๘ ประการเหล่านี้ โดยพิสดารเพราะอาศัยความเอ็นดูแก่ข้าพระองค์เถิด”

คฤหบดี ! ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.

คฤหบดี ! ข้อที่เรากล่าวว่า “อาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณาติบาตละเสียซึ่งกรรมอันเป็นปาณาติบาต“ ดังนี้นั้น เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุผลดังนี้

ว่า อริยสาวกในกรณีนี้ ย่อมใคร่ครวญเห็นดังนี้ว่า เราปฏิบัติแล้วดังนี้เพื่อละเสียเพื่อตัดขาดเสีย ซึ่งสังโยชน์อันเป็นเหตุให้เรากระทำปาณาติบาต. อนึ่ง เมื่อเรา ประกอบกรรมอันเป็นปาณาติบาตอยู่ แม้เราเองก็ตำหนิตนเองได้เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย, วิญญูชนใคร่ครวญแล้วก็ติเตียนเราได้เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย, ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ทุคติก็หวังได้เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย. ปาณาติบาตนั่นแหละเป็นสังโยชน์ ปาณาติบาตนั่นแหละ เป็นนิวรณ์. อนึ่ง อาสวะเหล่าใดอันเป็นเครื่องกระทำความคับแค้นและเร่าร้อน เกิดขึ้นเพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย ; ครั้นเว้นขาดจากปาณาติบาตเสียแล้ว อาสวะอันเป็นเครื่องกระทำความคับแค้นและเร่าร้อนเช่นนั้นเหล่านั้น ย่อมไม่มี ดังนั้น พึงอาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณาติบาต ละกรรมอันเป็นปาณาติบาตเสีย, ดังนี้.

(สำหรับหัวข้อธรรมะที่ว่า อาศัยการถือเอาแต่สิ่งที่เขาให้ ละอทินนาทานเสีย ก็ดี อาศัยสัจจวาจา ละมุสาวาทเสีย ก็ดี อาศัยอปิสุณวาจา ละปิสุณวาจาเสีย ก็ดี อาศัยอคิทธิโลภละคิทธิโลภเสีย ก็ดี อาศัยอนินทาโทส ละนินทาโทสเสีย ก็ดี อาศัยอโกธุปายาส ละโกธุปายาสเสีย ก็ดี อาศัยอนติมานะ ละอติมานะเสีย ก็ดี ซึ่งมีคำแปลและความหมายดังที่กล่าวแล้วข้างต้นก็ได้ทรงอธิบายด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับคำอธิบายของหัวข้อธรรมะที่ว่า “อาศัยอปาณาติบาตละปาณาติบาตเสีย” ดังที่กล่าวแล้วข้างบนนี้; คือ อริยสาวกพิจารณาเห็นว่า มีสังโยชน์เป็นเหตุให้กระทำ ครั้นทำแล้วตนเองก็ตำหนิตนเองได้ ผู้รู้ใคร่ครวญก็ติเตียนได้ ตายแล้วไปสู่ทุคติจึงจัดการกระทำนั้นๆ ว่า เป็นสังโยชน์ เป็นนิวรณ์ ครั้งละการกระทำนั้น ๆ เสียก็ไม่มีอาสวะอันเป็นเครื่องดับแค้นเดือดร้อน (ระดับนั้น) อีกต่อไป; แล้วได้ตรัสข้อความนี้สืบต่อไป ว่า :- )

คฤหบดี ! ธรรมทั้งหลาย ๘ ประการ เหล่านี้ (อันเรากล่าวแล้วแม้ อย่างนี้ ก็ยังเป็นการ) กล่าวแล้วโดยสังเขป ไม่ได้จำแนกโดยพิสดาร (แม้จะ) เป็นไป

เพื่อการตัดขาดโวหาร (การลงทุนเพื่อกำไร) ในอริยวินัย ก็จริง แต่ยังไม่ได้เป็นการตัดขาดซึ่งโวหารกรรมนั้นๆทั้งหมดทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวงในอริยวินัย นี้ก่อน

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงแสดงซึ่งธรรมอันเป็นการตัดขาดซึ่งโวหารกรรมนั้นๆทั้งหมดทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวงในอริยวินัย แก่ข้าพระองค์เถิด”

คฤหบดี ! ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.

(ต่อจากนี้ พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถึง กามและโทษอันเลวร้ายของกาม ซึ่ง เปรียบด้วย ท่อนกระดูกไม่สามารถสนองความหิวของสุนัขหิว ชิ้นเนื้อในปากนกมีนกอื่นแย่ง จุดคบเพลิงถือทวนลม หลุมถ่านเพลิงอันน่ากลัว ของในฝันซึ่งตื่นแล้วก็หายไป ของยืมซึ่งต้องคืนเจ้าของและเปรียบด้วยผลไม้ที่สุกแล้ว ย่อมฆ่าต้นของมันเอง (มีรายละเอียดหาดูได้ที่หน้า ๓๐๐ แห่งหนังสือเล่มนี้ โดยหัวข้อว่า “กามเปรียบด้วยท่อนกระดูก” เป็นต้นไป) อันอริยสาวกใคร่ครวญเห็นโทษทุกข์อุปายาสอันยิ่ง ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง แล้วละอุเบกขามีอารมณ์ต่าง ๆ เสียได้ แล้วเจริญอุเบกขามีอารมณ์เดียวอันเป็นที่ดับอุปาทานในโลกามิสโดยไม่มีส่วนเหลือ.

อริยสาวกนั้น อาศัยสติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขามีอารมณ์เดียวอันไม่มีอื่นยิ่งกว่านี้แล้ว ระลึกได้ซึ่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณมีอย่างเป็นอเนก และ มีจักษุทิพย์เห็นสัตว์จุติอุบัติไปตามกรรมของตน และในที่สุด ได้กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุติติอันไม่มีอาสวะ ในทิฏฐธรรม ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วแลอยู่ ; แล้วตรัสต่อไปว่า :- )

คฤหบดี ! ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ชื่อว่ามี การตัดขาดโวหารกรรม(การลงทุนเพื่อกำไร) นั้น ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวง ในอริยวินัยนี้. คฤหบดี ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ท่านได้มองเห็นการตัดขาดซึ่ง โวหารกรรมอย่างนี้เหล่านี้ ว่ามีอยู่ในท่านบ้างไหม ?

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! จะมีอะไรกันเล่าสำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังห่างไกล จากการตัดขาดโวหารกรรมอย่างนี้ เหล่านี้ ในอริยวินัยนั้น.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ในกาลก่อน ข้าพระองค์ได้สำคัญพวกปริพาชก เดียรถีย์เหล่าอื่น ซึ่งไม่ใช่ผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง ได้คบพวกปริพาชกเดียรถีย์เหล่าอื่น ผู้ไม่รู้ทั่วถึง ในฐานะเป็นการคบผู้รู้ทั่วถึง ได้ตั้งผู้รู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะแห่งผู้รู้ทั่วถึง. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ได้สำคัญภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง ได้คบภิกษุผู้รู้ทั่วถึง ในฐานะเป็นการคบผู้ไม่รู้ทั่วถึง ได้ตั้งผู้รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะแห่งผู้ไม่รู้ทั่วถึง.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บัดนี้ ข้าพระองค์รู้จักพวกปริพาชกเดียรถีย์เหล่าอื่น ซึ่งไม่ใช่ผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง จักคบผู้ไม่รู้ทั่วถึงในฐานะเป็นการคบผู้ไม่รู้ทั่วถึง จักตั้งผู้รู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะแห่งผู้ไม่รู้ทั่วถึง. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์จักรู้จักภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง จักคบผู้รู้ทั่วถึงในฐานะเป็นการคบผู้รู้ทั่วถึง จักตั้งผู้รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะแห่งผู้รู้ทั่วถึง.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาคได้ทรงยังความรักสมณะของข้าพระองค์ให้เกิดขึ้นในหมู่สมณะ ยังความเลื่อมใสสมณะของข้าพระองค์ให้เกิดขึ้นในหมู่สมณะ ยังความ เคารพสมณะของข้าพระองค์ให้เกิดขึ้นในหมู่สมณะ แล้ว.

ไพเราะนัก พระเจ้าข้า ! ไพเราะนัก พระเจ้าข้า ! เปรียบเหมือนการหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตั้งประทีปน้ำมันไว้ในที่มืด เพื่อว่าคนมีตาจะได้ เห็นรูป ดังนี้” (ต่อจากนี้ไป เขาได้แสดงตนเป็นอุบาสก).

เสียงอ่าน
อาจิต โตเกียรติรุ่งเรือง:
1639-การดำรงชีพชอบ คือ การลงทุนเพื่อนิพพาน.mp3

อ้างอิง
ไทย: - ม.ม. 13/33 - 47/36 - 55
บาลี: - ม.ม. ๑๓/๓๓ - ๔๗/๓๖ - ๕๕

AI ช่วยอ่าน

กรุณาคัดลอกและวางพระสูตรในช่องนี้เพื่อฟังเสียง

×

สารบัญหนังสือ