พุทธธัมมเจดีย์อริยสัจจากพระโอษฐ์

พิมพ์คำค้นหาแล้วกดส่ง

อริยสัจจากพระโอษฐ์ > ภาค ๓ > นิทเทศ 10 ว่าด้วย ธรรมเป็นที่ดับแห่งตัณหา > (ธรรมเก้าประการนี้ เรียกว่า วิหารธรรม คือธรรมเป็นเครื่องอยู่แห่งจิตเก้าลำดับจึงได้ชื่อว่า อนุปุพพวิหารเก้า. ยังมีข้อประหลาดที่ว่า ในบาลีบางแห่งถึงกับกล่าวว่า เข้าอยู่ในวิหารธรรมนี้ได้แม้ในขณะแห่งอิริยาบถทั้งสี่ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน สำหรับ ๔ ข้อข้างต้นคือ ตั้งแต่ปฐมฌาน ถึง จตุตถฌาน. - ติก. อํ. ๒๐/๒๓๔/๕๐๓).
«
»

หน้า:

(ธรรมเก้าประการนี้ เรียกว่า วิหารธรรม คือธรรมเป็นเครื่องอยู่แห่งจิตเก้าลำดับจึงได้ชื่อว่า อนุปุพพวิหารเก้า. ยังมีข้อประหลาดที่ว่า ในบาลีบางแห่งถึงกับกล่าวว่า เข้าอยู่ในวิหารธรรมนี้ได้แม้ในขณะแห่งอิริยาบถทั้งสี่ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน สำหรับ ๔ ข้อข้างต้นคือ ตั้งแต่ปฐมฌาน ถึง จตุตถฌาน. - ติก. อํ. ๒๐/๒๓๔/๕๐๓).

ปรับขนาด: 16px

-(ธรรมเก้าประการนี้ เรียกว่า วิหารธรรม คือธรรมเป็นเครื่องอยู่แห่งจิตเก้าลำดับจึงได้ชื่อว่า อนุปุพพวิหารเก้า. ยังมีข้อประหลาดที่ว่า ในบาลีบางแห่งถึงกับกล่าวว่า เข้าอยู่ในวิหารธรรมนี้ได้แม้ในขณะแห่งอิริยาบถทั้งสี่ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน สำหรับ ๔ ข้อข้างต้นคือ ตั้งแต่ปฐมฌาน ถึง จตุตถฌาน. - ติก. อํ. ๒๐/๒๓๔/๕๐๓).

ค. อนุปุพพวิหารสมาบัติ เก้า

ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่ง อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการ เหล่านี้. เธอทั้งหลายจงฟัง. ภิกษุ ท. ! อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

(๑) กามทั้งหลาย ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใด ยังกามทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิวดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้นๆ ในที่นั้น แน่แท้. ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวถามอย่างนี้ ว่า “กามทั้งหลาย ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยังกามทั้งหลายให้ดับไปๆ ในที่ไหน แล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น” ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่. กามทั้งหลาย ดับไปในปฐมฌานนั้น, และชนเหล่านั้น ยังกามทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในปฐมฌานนั้น แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำ สาธุ ดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๒) วิตกและวิจารทั้งหลาย ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใดยัง วิตกและวิจารทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้นๆ ในที่นั้น แน่แท้. ถ้าผู้ใด จะพึงกล่าวถามอย่างนี้ว่า “วิตกและวิจารทั้งหลาย ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหน ยัง วิตกและวิจารทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในที่ไหน แล้วแลอยู่ ?

ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น “ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะความที่วิตกและวิจารทั้งหลายระงับลง เข้าถึงทุติยฌาน อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวไม่มีวิตกและวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่, วิตกและวิจารทั้งหลาย ดับไปใน ทุติยฌาน นั้น, และชนเหล่านั้น ยัง วิตกและวิจารทั้งหลายให้ดับไปๆ ในทุติยฌานนั้น แล้วแลอยู่” ดังนี้.ภิกษุ ท. ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุดังนี้แล้วนอบน้อมอยู่จะประคองอัญชลี เข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๓) ปีติ ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใด ยัง ปีติ ให้ดับไปๆในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้วถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้น ๆ ในที่นั้น แน่แท้. ถ้าผู้ใด จะพึงกล่าวถามอย่างนี้ว่า “ปีติ ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยังปีติให้ดับไป ๆ ในที่ไหนแล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น” ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ อยู่อุเบกขามีสติและสัมปชัญญะ และเสวยความสุขด้วยนามกาย เข้าถึงตติยฌาน อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข’ ดังนี้แล้วแลอยู่. ปีติ ดับไปใน ตติยฌาน นั้น, และชนเหล่านั้น ยัง ปีติ ให้ดับไปๆใน ตติยฌาน นั้นแล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวดไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วย คำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลี เข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๔) อุเบกขาสุข ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใด ยัง

อุเบกขาสุข ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้นหายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้นๆ ในที่นั้น แน่แท้. ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวถามอย่างนี้ว่า “อุเบกขาสุข ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยัง อุเบกขาสุข ให้ดับไป ๆ ในที่ไหน แล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น” ดังนี้ไซร้, คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนเข้าถึงจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่. อุเบกขาสุข ดับไปใน จตุตถฌาน นั้น, และชนเหล่านั้น ยัง อุเบกขาสุข ให้ดับไป ๆ ใน จตุตถฌาน นั้น แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่าสาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ แล้ว นอบน้อมอยู่จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๕) รูปสัญญาทั้งหลาย ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใด ยังรูปสัญญาทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้น ๆ ในที่นั้น แน่แท้. ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวถามอย่างนี้ ว่า “รูปสัญญาทั้งหลาย ดับไปที่ไหน ? และชนเหล่าไหน ยัง รูปสัญญาทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในที่ไหน แล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น ดังนี้ไซร้, คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะการก้าวล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาทั้งหลายโดยประการทั้งปวง เพราะความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญาทั้งหลาย เพราะไม่ได้ทำไว้ในใจซึ่งความกำหนดหมายในภาวะต่าง ๆจึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมี

การทำในใจว่า ‘ อากาศไม่มีที่สุด ’ แล้วแลอยู่. รูปสัญญาทั้งหลาย ดับไปในอากาสานัญจายตนะ นั้น, และชนเหล่านั้น ยัง รูปสัญญาทั้งหลาย ให้ดับไป ๆ ในอากาสานัญจายตนะ นั้น แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท . ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๖) อากาสานัญจายตนสัญญา ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใดยัง อากาสานัญจายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้น ๆ ในที่นั้นแน่แท้. ถ้าผู้ใด จะพึงกล่าวถามอย่างนี้ ว่า “อากาสานัญจายตนสัญญา ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยัง อากาสานัญจายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใดแล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น” ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ ก้าวล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า ‘วิญญาณไม่มีที่สุด, แล้วแลอยู่. อากาสานัญจายตนสัญญา ดับไปใน วิญญาณัญจายตนะ นั้น, และชนเหล่านั้น ยัง อากาสานัญจายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในวิญญาณัญจายตนะนั้น แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใครๆที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๗) วิญญาณัญจายตนสัญญา ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใดยัง วิญญาณัญจายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มี

อายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้น ๆ ในที่นั้นแน่แท้. ถ้าผู้ใด จะพึงกล่าวถามอย่างนี้ ว่า “วิญญาณัญจายตนสัญญา ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยัง วิญญาณัญจายตนสัญญา ให้ดับไปๆ ในที่ใดแล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น” ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขา ว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ ก้าวล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า ‘อะไร ๆ ไม่มี ’ แล้วแลอยู่. วิญญาณัญจายตนสัญญา ดับไปใน อากิญจัญญายตนะ นั้น, และชนเหล่านั้น ยัง วิญญาณัญจายตนสัญญา ให้ดับไป ๆใน อากิญจัญญายตนะ นั้นแล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใครๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายาพึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนา ด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๘) อากิญจัญญายตนสัญญา ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใดยัง อากิญจัญญายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้น ๆ ในที่นั้นแน่แท้. ถ้าผู้ใด จะพึงกล่าวถามอย่างนี้ ว่า “อากิญจัญญายตนสัญญา ดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยัง อากิญจัญญายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใดแล้วแลอยู่ ? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น “ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ ก้าวล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วแลอยู่. อากิญจัญญายตนสัญญา ดับไปใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้น, และชนเหล่านั้น ยังอากิญจัญญายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ใน เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้นแล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า

สาธุ ดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

(๙) เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ย่อมดับไปในที่ใด, และชนเหล่าใด ยัง เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่ ; เรากล่าวว่า ผู้มีอายุเหล่านั้น หายหิว ดับเย็น ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว ด้วยองค์นั้น ๆ ในที่นั้น แน่แท้. ถ้าผู้ใด จะพึงกล่าวถามอย่างนี้ ว่า “เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาดับไปในที่ไหน ? และชนเหล่าไหนยังเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ในที่ใด แล้วแลอยู่? ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อนั้น ไม่เห็นข้อนั้น” ดังนี้ไซร้ ; คำตอบพึงมีแก่เขาว่า “ผู้มีอายุ ! ภิกษุในกรณีนี้ก้าวล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่, เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ดับไปใน สัญญาเวทยิตนิโรธนั้น, และชนเหล่านั้น ยัง เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ให้ดับไป ๆ ใน สัญญาเวทยิตนิโรธ นั้น แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ใคร ๆ ที่ไม่เป็นผู้โอ้อวด ไม่เป็นผู้มีมายา พึงเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้ ; ครั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ดังนี้แล้ว นอบน้อมอยู่ จะประคองอัญชลีเข้าไปหา โดยแน่แท้.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการ.

เสียงอ่าน
อาจิต โตเกียรติรุ่งเรือง:
1100-ค. อนุปุพพวิหารสมาบัติ 9.mp3

อ้างอิง
ไทย: - นวก. อํ. 23/424/237.
บาลี: - นวก. อํ. ๒๓/๔๒๔/๒๓๗.

AI ช่วยอ่าน

กรุณาคัดลอกและวางพระสูตรในช่องนี้เพื่อฟังเสียง

×

สารบัญหนังสือ