(ข้อความทั้งหมดนี้แสดงว่า พระองค์ทรงแนะให้ถวายทานด้วยตั้งใจว่า ถวายแก่สงฆ์ คือถวายเป็น “สังฆทาน” อย่าไปเห็นว่าถวายแก่พระบ้านหรือพระป่า พระบิณฑบาตฉันหรือพระฉันในที่นิมนต์ พระจีวรดำ หรือพระจีวรเหลือง ; และไม่อยู่ในวิสัยที่คฤหัสถ์สามารถตัดสินเอาว่า องค์ไหนเป็นพระอรหันต์ องค์ไหนไม่เป็น ; ดังนั้น จึงทรงแนะให้ทำในใจว่า “ถวายแก่สงฆ์” เป็นสังฆทาน ดีกว่า).
อาการที่อวิชชาทำให้มีการเกิดดับแห่งสังขาร
ภิกษุ ท. ! เมื่อกาย (กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) มีอยู่, สุข และทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะกายสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางกาย) เป็นเหตุ; ภิกษุ ท. ! หรือว่า เมื่อวาจา (วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) มีอยู่, สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะวจีสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางวาจา) เป็นเหตุ; ภิกษุ ท. ! หรือว่า เมื่อมโน (มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) มีอยู่, สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางใจ) เป็นเหตุ .
ภิกษุ ท. ! อนึ่ง เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย นั่นแหละ บุคคลย่อม ปรุงแต่ง กายสังขาร (อำนาจที่ให้เกิดการปรุงแต่งทางกาย) อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน ด้วยตนเอง ก็มี ; หรือว่า เหตุปัจจัยอะไรอื่นเป็นเหตุให้บุคคลปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา อยู่ก็มี ; หรือว่า บุคคล รู้เรื่อง (เกี่ยวกับบุญบาป ดีชั่ว) นั้นๆ อยู่ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี; หรือว่า บุคคล ไม่มีความรู้เรื่อง (เกี่ยวกับบุญบาป ดีชั่ว) นั้นๆ อยู่ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตนอยู่ก็มี.
ภิกษุ ท. ! หรือว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย นั่นแหละ บุคคลย่อม ปรุงแต่ง วจีสังขาร (อำนาจที่ให้เกิดการปรุงแต่งทางวาจา) อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน ด้วยตนเอง ก็มี ; หรือว่า เหตุปัจจัยอะไรอื่น เป็นเหตุให้บุคคลปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา อยู่ก็มี; หรือว่า บุคคล รู้เรื่อง (เกี่ยวกับบุญบาป ดีชั่ว) นั้น ๆ อยู่ ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน อยู่ก็มี; หรือว่า บุคคล ไม่มีความรู้เรื่อง (เกี่ยวกับบุญบาป ดีชั่ว) นั้นๆ อยู่ ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน อยู่ก็มี.
ภิกษุ ท. ! หรือว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย นั่นแหละ บุคคลย่อม ปรุงแต่ง มโนสังขาร (อำนาจที่ให้เกิดการปรุงแต่งทางวาจา) อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน ด้วยตนเอง ก็มี; หรือว่า เหตุปัจจัยอะไรอื่น เป็นเหตุให้บุคคลปรุงแต่งมโนสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายใน
เกิดขึ้นแก่เขา อยู่ก็มี; หรือว่า บุคคล รู้เรื่อง (เกี่ยวกับบุญบาป ดีชั่ว) นั้นๆอยู่ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน อยู่ก็มี; หรือว่า บุคคล ไม่มีความรู้เรื่อง (เกี่ยวกับบุญบาป ดีชั่ว) นั้นๆอยู่ ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ที่เป็นภายในเกิดขึ้นแก่ตน อยู่ก็มี.
ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นตัวการที่แทรกแซงอยู่ในธรรมทั้งหลาย (ทั้งสิบสองประการ) เหล่านี้. (คือหมวด กายสังขารสี่ หมวดวจีสังขารสี่ และหมวดมโนสังขารสี่ ดังที่กล่าวแล้ว).
ภิกษุ ท. ! เพราะความจางคลายดับไม่เหลือแห่งอวิชชา นั้นนั่นเทียว กาย (กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา; วาจา (วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา ; มโน (มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา ; เขตต์ (กรรมที่เปรียบเสมือนเนื้อนาสำหรับงอก) ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา ; วัตถุ (พืชเพื่อการงอก) ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา; อายตนะ (การสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการงอก) ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา; อธิกรณะ (กรรมเป็นเครื่องกระทำให้เกิดการงอก) ก็ไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นแก่เขา .