พุทธธัมมเจดีย์อริยสัจจากพระโอษฐ์

พิมพ์คำค้นหาแล้วกดส่ง

อริยสัจจากพระโอษฐ์ > ภาค ๔ > นิทเทศ 14 ว่าด้วย สัมมาทิฏฐิ > (ในสูตรอื่นแสดงอานิสงส์แห่งสัมมาทิฏฐิ ว่าทำให้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่เกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดอยู่แล้วเสื่อมสิ้นไป. - ๒๐/๔๑/๑๘๔. ในสูตรอื่นทรงแสดงว่า เป็นเหตุทำให้ ผู้ที่สมาทานประพฤติบริบูรณ์ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เจตนา ปัตถนา ปณิธิ และสังขาร ที่ล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขที่น่าปรารถนารักใคร่พอใจ. - ๒๐/๔๓/๑๙๐. ในสูตรอื่นทรงแสดงว่า เป็นเหตุให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง. -๒๑/๖๘/๔๙.)
«
»

หน้า:

(ในสูตรอื่นแสดงอานิสงส์แห่งสัมมาทิฏฐิ ว่าทำให้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่เกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดอยู่แล้วเสื่อมสิ้นไป. - ๒๐/๔๑/๑๘๔. ในสูตรอื่นทรงแสดงว่า เป็นเหตุทำให้ ผู้ที่สมาทานประพฤติบริบูรณ์ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เจตนา ปัตถนา ปณิธิ และสังขาร ที่ล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขที่น่าปรารถนารักใคร่พอใจ. - ๒๐/๔๓/๑๙๐. ในสูตรอื่นทรงแสดงว่า เป็นเหตุให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง. -๒๑/๖๘/๔๙.)

ปรับขนาด: 16px

-(ในสูตรอื่นแสดงอานิสงส์แห่งสัมมาทิฏฐิ ว่าทำให้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่เกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดอยู่แล้วเสื่อมสิ้นไป. - ๒๐/๔๑/๑๘๔. ในสูตรอื่นทรงแสดงว่า เป็นเหตุทำให้ ผู้ที่สมาทานประพฤติบริบูรณ์ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เจตนา ปัตถนา ปณิธิ และสังขาร ที่ล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขที่น่าปรารถนารักใคร่พอใจ. - ๒๐/๔๓/๑๙๐. ในสูตรอื่นทรงแสดงว่า เป็นเหตุให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง. -๒๑/๖๘/๔๙.)

หมวด ฉ. ว่าด้วย โทษของการขาดสัมมาทิฏฐิ

โทษที่เกิดจากมิจฉาทิฏฐิในการพูด

โลหิจจะ ! ผู้ใดกล่าวว่า “โลหิจจพราหมณ์ปกครองบ้านสาลวติกคาม ผลประโยชน์ใดเกิดขึ้นทวีขึ้นในบ้านสาลวติกคาม โลหิจจพราหมณ์ผู้เดียวพึงบริโภคผลประโยชน์นั้น ไม่พึงให้แก่ชนเหล่าอื่นเลย” ดังนี้. ผู้กล่าวอยู่อย่างนี้นั้น ชื่อว่าเป็นผู้กระทำอันตราย แก่หมู่ชนที่อาศัยโลหิจจพราหมณ์นั้นเป็นอยู่ (คือทำลายสิทธิอันชอบธรรมที่ประชาชนเหล่านั้นจะพึงได้รับ); เมื่อเป็นผู้กระทำอันตรายอยู่ชื่อว่าเป็นผู้ไม่เอ็นดู ด้วยประโยชน์เกื้อกูล เมื่อไม่เอ็นดูด้วยประโยชน์เกื้อกูล ชื่อว่าเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตอันเป็นข้าศึก; เมื่อเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตอันเป็นข้าศึก ชื่อว่าเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ; นี้ ฉันใด ;

โลหิจจะ ! ข้อนี้ก็เป็นฉันนั้น คือ ผู้ใดกล่าวว่า “สมณะหรือพราหมณ์ ในโลกนี้ ถึงทับซึ่งธรรมอันเป็นกุศล ครั้นถึงทับซึ่งธรรมอันเป็นกุศลแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะใครอื่นจักทำอะไรให้แก่ใครได้, เปรียบเหมือนบุรุษตัดเครื่องจองจำอันเก่าแล้ว ไม่พึงกระทำเครื่องจองจำอันอื่นขึ้นมาใหม่. ข้าพเจ้ากล่าวสัมปทาอย่างนี้ นี้ ว่าเป็นกรรมอันลามก คือสิ่งที่กระทำด้วยความโลภ, เพราะใครอื่นจักทำอะไรให้แก่ใครได้” ดังนี้. (ข้อนี้ผู้กล่าวหมายความว่า เป็นการเสือกไปกระทำสิ่งนอกหน้าที่ด้วยความโลภ แล้วทำความผูกพันใหม่ให้แก่ตน). บุคคลผู้กล่าวอยู่อย่างนี้นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ทำอันตราย แก่บรรดากุลบุตรผู้อาศัยธรรมวินัยอันตถาคตประกาศไว้แล้วถึงทับซึ่งคุณวิเศษอันโอฬารมีอย่างนี้เป็นรูป, คือการกระทำให้แจ้งซึ่งโสตาปัตติผลบ้าง กระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผลบ้าง กระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผลบ้าง กระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผลบ้าง รวมกระทั่งถึงคนจำพวกที่สะสม

ธรรมเพื่อครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ทั้งหลายเข้าไปด้วยกัน. เมื่อเป็นผู้กระทำอันตรายอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่เอ็นดูด้วยประโยชน์เกื้อกูล; เมื่อไม่เอ็นดูด้วยประโยชน์เกื้อกูล ชื่อว่าเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตอันเป็นข้าศึก; เมื่อเข้า ไปตั้งไว้ซึ่งจิตอันเป็นข้าศึก ชื่อว่าเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ.

โลหิจจะเอ๋ย ! เรากล่าวคติอย่างหนึ่ง ในบรรดาคติสองอย่าง คือ นรก หรือ กำเนิดเดรัจฉาน ว่าเป็นคติสำหรับบุคคลผู้มีมิจฉาทิฏฐินั้น.๑-


อ้างอิง
ไทย: - สี. ที. 9/289/358.
บาลี: - สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๕๘.

AI ช่วยอ่าน

กรุณาคัดลอกและวางพระสูตรในช่องนี้เพื่อฟังเสียง

×

สารบัญหนังสือ