หลักสำคัญสำหรับผู้หลีกออกเจริญสติปัฏฐานอยู่ผู้เดียว
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมนั้นโดยย่อ อันเป็นธรรมที่เมื่อข้าพระองค์ฟังแล้ว จะเป็นผู้ผู้เดียวออกไปสู่ที่สงัดเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมเบื้องบน แล้วแลอยู่เถิดพระเจ้าข้า !”
ก็เรื่องอย่างเดียวกันนี่แหละ โมฆบุรุษบางพวกขอร้องให้เรากล่าวธรรมอย่างที่เธอถาม ครั้นเรากล่าวธรรมนั้นแล้วเขาก็ยังสำคัญแต่ในอันที่จะติดตามเราเท่านั้น (ไม่สนใจที่จะหลีกออกอยู่ปฏิบัติผู้เดียว).
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ในลักษณะที่ข้าพระองค์
จะเข้าใจเนื้อความแห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเป็นทายาท(ผู้รับมรดกธรรม) แห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น”.
ภิกษุ ท. ! ถ้าอย่างนั้น ในกรณีนี้ เธอจงชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นอย่างยิ่งในบรรดากุศลธรรมทั้งหลาย. ก็อะไรเล่าเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย? ธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายคือ ศีลอันบริสุทธิ์หมดจด ๑, ทิฏฐิอันเป็นไปตรง ๑. ภิกษุ ท. ! เมื่อศีลของเธอบริสุทธิ์หมดจด ทิฏฐิของเธอไปตรงแล้ว, เธอจงอาศัยศีลตั้งอยู่ในศีล แล้วจง เจริญสติปัฏฐานทั้งสี่ โดย วิธีทั้งสาม เถิด. เจริญสติปัฏฐานทั้งสี่โดยวิธีทั้งสาม นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ เธอจงเป็นผู้ มีปกติตามเห็นกายในกาย อันเป็นภายใน อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก อยู่เถิด; และจงเป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกาย อันเป็นภายนอก อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก อยู่เถิด; และจงเป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอก อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก อยู่เถิด.
(ในกรณีแห่ง เวทนา จิต และธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน).
ภิกษุ ท. ! เมื่อเธออาศัยศีลตั้งอยู่ในศีล แล้วเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่โดยวิธีทั้งสาม อย่างนี้แล้ว ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น เป็นสิ่งที่เธอหวังได้ ตลอดคืนหรือวันอันจักมาถึง หาความเสื่อมมิได้เลย.
ภิกษุนั้น ยินดีรับพระพุทธภาษิต ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาท กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว เป็นผู้ผู้เดียวหลีกออกไปสู่ที่สงัด ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมเบื้องสูงอยู่ ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งได้ ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันไม่มีอะไรยิ่งกว่า ในทิฏฐธรรมนี้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงแล้วแลอยู่ อันเป็นประโยชน์ที่พึงประสงค์ของกุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเรือน ดังนี้แล.
มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๙๒ - ๑๙๓/๖๘๖ - ๖๙๐.
ตรัสให้มีสติคู่กันไปกับสัมปชัญญะ
ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้ มีสติอยู่ อย่างมีสัมปชัญญะ : นี้เป็นอนุสาสนีของเราแก่พวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้สติ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก; เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก; เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก; เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก. ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป
การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง. ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติอยู่ อย่างมีสัมปชัญญะ : นี้เป็นอนุสาสนีของเราแก่พวกเธอทั้งหลาย.